ภาพ : GrabTH
Masayoshi Son ซีอีโอของ SoftBank เจ้าของกองทุนเวนเจอร์แคปิตอล Vision Fund ผู้ลงทุนหลักในสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นอย่าง Grab เคยประกาศสัญญาลงทุนเพิ่มเติมอีก 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในแอพพลิเคชั่นนี้ เพื่อให้ Grab สร้างสำนักงานใหญ่แห่งที่สองในจาการ์ตา แต่คำสัญญาที่ว่าอาจสั่นสะเทือนเมื่อสถานะของนายทุนไม่มั่นคง
คำประกาศลงทุนนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 แต่ผ่านไปเพียง 3 เดือน SoftBank กลับต้องเผชิญวิกฤตหลังผลประกอบการของ Uber ยังคงขาดทุน และ WeWork ได้รับการประเมินมูลค่าบริษัทต่ำลงแบบฮวบฮาบ SoftBank ซึ่งทุ่มลงทุนในสองสตาร์ทอัพดังกล่าวจึงถูกฉุดลงเหวไปด้วย
Grab เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ SoftBank ให้เงินสนับสนุน โดยเป็นผู้ลงทุนเบอร์ 1 ด้วยเม็ดเงินลงทุนสะสม 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน ‘ซูเปอร์แอพฯ’ อย่าง Grab ซึ่ง CB Insights ประเมินว่ามีมูลค่าบริษัทถึง 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม SoftBank กำลังจะประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 3 ในวันพรุ่งนี้ และคาดกันว่าจะไม่ใช่ตัวเลขที่ดีนัก ทำให้ SoftBank ต้องปรับกลยุทธ์การเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพต่างๆ หลังจากนี้ โดยชูกุญแจหลักที่พวกเขามองหาในสตาร์ทอัพคือ “ความสามารถในการทำกำไร”
“คุณต้องมีธุรกิจที่สมเหตุสมผล” Rajeev Misra ผู้บริหารกองทุน Vision Fund ของ SoftBank กล่าว “การพูดเพียงว่า ‘ดูสิ เรากำลังจะดิสรัปอุตสาหกรรมที่มีโมเดลธุรกิจแย่ๆ’ จะไม่เพียงพออีกต่อไป”
เมื่อมีหลักเกณฑ์ใหม่ ทำให้ Grab ต้องมุ่งมั่นเรื่องการทำกำไรให้มากขึ้น โดยปัจจุบันแอพฯ นี้มีบริการหลักคือ เรียกรถรับส่ง ดำเนินการใน 8 ประเทศ และคิดเป็น 80% ของรายได้รวม อีกส่วนคือ จัดส่งอาหาร ดำเนินการใน 6 ประเทศ คิดเป็น 20% ของรายได้รวม
ที่น่าสนใจคือมาร์จิ้นของการจัดส่งอาหารนั้นมีมากกว่า โดย Grab ได้ส่วนแบ่ง 20% จากค่าโดยสารรถรับส่ง แต่ได้มาร์จิ้น 30% หรือมากกว่าสำหรับบริการจัดส่งอาหาร นอกจากนี้ Kantar บริษัทวิจัยตลาดยังระบุว่า Grab เป็นผู้นำตลาดจัดส่งอาหารในทุกประเทศที่เปิดบริการ คือ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และสิงคโปร์ (เก็บผลสำรวจเดือน ม.ค.-เม.ย. 2019)
“บริการจัดส่งอาหารจะช่วยให้บริษัทมีกำไรได้เร็วขึ้น” Lim Kell Jay หัวหน้าระดับภูมิภาคของหน่วยงาน Grab Food กล่าว และมองว่า Grab Food อาจจะบุกตลาดเมียนมาและกัมพูชาเป็นแห่งต่อไป
แต่ในธุรกิจหลักอย่างบริการเรียกรถรับส่ง Grab กำลังเผชิญความเสี่ยงในอินโดนีเซียที่เป็นตลาดสำคัญ เมื่ออดีตซีอีโอของบริษัทคู่แข่งคือ Nadiem Makarim แห่ง Go-Jek ลาออกไปร่วมรัฐบาลของประธานาธิบดี Joko Widodo ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสัญญาณว่า Go-Jek อาจจะได้รับการยอมรับนับถือมากกว่าในอินโดนีเซีย
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ Grab ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นซูเปอร์แอพฯ แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป โดยพยายามรุกตลาดที่จะได้มาร์จิ้นสูง นอกจากการจัดส่งอาหารแล้ว Grab ยังเริ่มทดลองบริการตรวจสุขภาพทางไกลในอินโดนีเซียมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีก่อน โดยบริการนี้จะมีแพทย์ให้คำปรึกษากับคนไข้ผ่านทางแอพพลิเคชั่น และบริษัทยังมองหาลู่ทางที่จะขยายยูนิตนี้ไปสู่ประเทศอื่นๆ ต่อไป