สถานการณ์ความขัดแย้งแตกแยกทางความคิดและความเชื่อในประเทศไทย เผชิญหน้ากันมาหลายปี เดินมาสู่จุดที่ต้องคลายปม เพื่อยกเครื่องประเทศไทยกันใหม่ ด้วยการ “ยุบสภา”
เงื่อนไขบนโต๊ะเจรจาแม้ที่สุดจะไม่บรรลุผล แต่ทั้งสองฝ่ายทั้งแกนนำม็อบเสื้อแดง และนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
มีจุดร่วมที่เห็นพ้อง “ยุบสภา”
ถึงแม้ในเบื้องต้น เงื่อนไขที่เป็นปัญหาจนให้วงเจรจาปิดลงชั่วคราว คือเรื่อง “เวลา” โดยฝ่ายเสื้อแดงขีดเส้นตายให้รัฐบาลยุบสภาใน15วัน
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลยอมลดเวลาที่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศต่อไปอีก1ปี 9เดือน
แต่ยอมที่จะทำตามข้อเรียกร้องอย่างมีเงื่อนไข จะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหา 3เรื่อง ก่อนที่จะล้างกระดานการเมืองกันใหม่
ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ บรรยากาศการเมือง และการแก้ไขกฎเกณฑ์กติกา รธน.
ต้องใช้เวลาประมาณ 9เดือน
ถึงจะไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ แต่มีอีกตัวเลขหนึ่งที่น่าสนใจ และทั้งสองฝ่ายควรนำมาพิจารณา
จดหมายเปิดผนึกของ 250นักวิชาการ ในนามกลุ่ม “สันติประชาธรรม” ที่รวบรวมรายชื่อเสนอต่อนายกฯ ให้หาทางลดการเผชิญหน้ากับม็อบเสื้อแดงที่ส่อเค้าว่าจะเริ่มมีความรุนแรงเกิดขึ้น
คืนอำนาจให้ประชาชน ยุบสภา ในเวลา 3เดือน!
นอกจากเรื่องเวลาและเงื่อนไขในจดหมายเปิดผนึก “มีเหตุผล” และน่ารับฟัง โดยเฉพาะที่ว่าสถานการณ์ในขณะนี้
การยุบสภาเป็นหนทางออกที่เหมาะสมที่สุด ในภาวะที่บ้านเมืองกำลังเดินเข้าสู่ “กับดักความรุนแรง” และทางใกล้ “ตัน” ขึ้นทุกที
ยุบสภา เพื่อลดการเผชิญหน้าระหว่างรัฐและมวลชนเสื้อแดง ที่อาจกลายเป็นเงื่อนไขไปสู่การปะทะและปราบปราม เปิดโอกาสให้เกิดการรัฐประหาร
นักวิชาการจึงเสนอให้เลือกเดินไปสู่การใช้กลไกลระบอบประชาธิปไตย
ปิดทาง “อำนาจนอกระบบ” แทรก!!
เป็นข้อเสนอของนักวิชาการที่มีเหตุผล บนเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องเร่งทำภายใน 3 เดือน ทั้งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เร่งด่วน
ต้องมีการทำสัญญาประชาคมในเรื่องกติกาการเลือกตั้ง จัดเตรียมนโยบายสำหรับการหาเสียงเลือกตั้ง
นอกจากนี้เรื่องเวลา30วัน ที่กลุ่มนักวิชาการเสนอ เชื่อว่าเป็นตัวเลขที่รัฐบาลยอมรับได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดไว้ว่า หากยุบสภา จะมีเวลาเพื่อเตรียมการจัดการเลือกตั้งอีก45-60วัน
3เดือน บวกอีก60วัน หรือ2เดือน เท่ากับรัฐบาลมีเวลาบริหารอีก 5 เดือน เชื่อว่าเป็นเวลาที่ “อภิสิทธิ์” น่าจะยอมรับได้
ถึงจะต้องยอมหั่นเวลา เงื่อนไข9เดือน ที่ยื่นโนติสกับกลุ่มเสื้อแดง แต่เชื่อว่า นั่นคือราคาบนเวทีเจรจาที่ต้องกำหนดเงื่อนไขสูงไว้ก่อน
รวมทั้งเหตุผลของนักวิชาการ ก็เป็นเรื่องที่นายอภิสิทธิ์น่าจะเห็นพ้อง
หากยอมรับความจริง สถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น!!
ความจริงที่ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในขณะนี้ เดินเข้าสู่ใกล้จุดแตกหัก ไม่มีใครยอมใคร โดยเฉพาะตัวละครสำคัญ ที่ถือเป็นพอยต์ที่ทำให้ก่อเกิด ม็อบเสื้อแดง “ทักษิณ ชินวัตร”
แสดงออกแล้วว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรี เกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทอง นักโทษหนีคดีอาญาคดีฉ้อโกง เมื่อไม่รู้สำนึกผิดถูก ย่อมสู้ตาย แม้จะต้องเล่นเกมล้างผลาญบ้านเมือง!
หากดันทุรังต่อไปถึงรับมือได้ แต่ก็ “สุ่มเสี่ยงอันตราย”
ขณะที่ ฝ่าย “คนเสื้อแดง” บางส่วนเองก็ยอมรับได้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการยอมร่วมโต๊ะเจรจากับฝ่ายถือครองอำนาจรัฐ
โดยเฉพาะแกนนำบางปีกก็อยากหา “ทางลง” และไม่มีใครต้องการเสี่ยง หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน อาจถูกข้อหาพาคนไปตาย
“มือเปื้อนเลือด”
อย่างไรเสีย “วงเจรจา” คงจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ ก่อนที่จะเกิดเหตุนองเลือดขึ้นก่อน ซึ่งไม่มีประโยชน์อันใด
สำหรับนายอภิสิทธิ์เอง ความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้คนเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าประชาชนนั้นจะสวมเสื้อสีไหนก็ตาม
อีกทั้งตัวเลขเวลา “ยุบสภา” 3เดือน บวก2 น่าจะเป็นตัวเลขในใจของอภิสิทธิ์อยู่แล้ว
ในเมื่อปัจจัยในการตัดสินใจหลายเรื่องก็สอดคล้องกับข้อเสนอของนักวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่เริ่มตั้งไข่ได้ และมีเวลาพอเพียงที่จะให้ก้าวเดินต่อไปได้
บรรยากาศการเมืองที่ระยะเวลา4-5เดือน ที่แม้จะไม่สามารถเยียวยาความขัดแย้งที่สั่งสมมานานได้หายขาด แต่ก็น่าจะช่วยลดความรุนแรงลงไป
ขณะที่กฎเกณฑ์กติกา หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องสำคัญ ที่อาจต้องใช้ระยะเวลามากกว่า4-5เดือน จะเสร็จทัน หากต้องเพิ่มกระบวนการทำประชามติเข้าไปด้วย
แต่หากตัดบางขั้นตอน แก้บางปมประเด็นที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องเขตเลือกตั้ง ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องการให้ปรับไปสู่ระบบเขตเล็ก เขตเดียวคนเดียวอยู่แล้ว เมื่อลดปมยุ่งยาก ก็ลดทอนเวลาได้อีกมาก
นอกจากนี้ ตลอดเวลาบริหารประเทศมา1ปีกว่า ทุกอย่างเริ่มลงตัว ขณะเดียวกันปัญหาที่หมักหมมคือแง่มุมของพรรคร่วมรัฐบาล
ประเมินได้ว่า “อภิสิทธิ์” เอือมระอาพรรคร่วมรัฐบาลเต็มที
เหนื่อยหน่ายที่จะทำงานร่วมกับบรรดา “ผู้บงการตัวจริง” ในแต่ละพรรคร่วมรัฐบาล ทั้ง “หลงจู๊” บรรหาร ศิลปอาชา ที่ลื่นเป็น “ปลาไหล”
ขณะที่ “เนวิน ชิดชอบ-สมศักดิ์ เทพสุทิน” สองคีย์แมนค่ายสีน้ำเงิน พรรคภูมิใจไทย ก็วางใจไม่ได้ เผลอเป็นหยิบ ปลุกปั้นแต่เมกะโปรเจกต์
มิหนำซ้ำยังแตะมือกับบิ๊กทหาร ซุ่มสร้าง “ขั้วอำนาจใหม่” เล่นเกมสมคบคิด รอจังหวะโอกาสโค่น “อภิสิทธิ์” อยู่เหมือนกัน
เช่นเดียวกัน ทั้งสองพรรคใหญ่ ชาติไทยพัฒนา ภูมิใจไทย ที่ไม่น่าไว้วางใจ ขณะที่พรรคเล็กพรรคน้อย ทั้งหมดก็ไม่ “จริงใจ” กับประชาธิปัตย์
เสือสิงห์กระทิงแรด เขี้ยวงาโง้งเหล่านี้ ล้วนต่อสาย “ทักษิณ” อยู่ทั้งนั้น
รอจังหวะ “เชือด” นายกฯ เด็กดื้อ!
ดังนั้นเชื่อว่า “อภิสิทธิ์” เมื่อตั้งหลักได้พอสมควร ทั้งเรื่องงานบ้านงานเมือง นโยบายรัฐบาลที่ส่งผลต่อประชาธิปัตย์ ดึงคะแนนนิยมได้พอสมควร
ยิ่งพอมีเวลา3เดือน พลัส บวก2 เงื่อนไขยุบสภา “อภิสิทธิ์” เอาด้วยแน่
เหนืออื่นใดเลย หากสามารถลากแกนนำเสื้อแดงบางปีกที่อยากจะหาบันไดลง ล้ากับการสู้ให้ “นายใหญ่” เต็มทน
หากสามารถดึงมาร่วมโต๊ะเจรจาได้อีก บนเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายยอมถอย หา “จุดลงตัว” เพื่อผลประโยนชน์ของประชาชนและประเทศชาติบ้านเมือง
คลิกกันเมื่อไหร่ ก็เท่ากับ “ถีบ” คนอย่าง “ทักษิณ” ออกนอกวงได้เมื่อนั้น
นักโทษหนีคดี ถูกยึดทรัพย์ ต้องตะลอนอยู่ต่างแดน ที่เห็นอาการแล้วประเมินกันได้ว่า ไม่สามารถรับเงื่อนไขคำว่า “รอ” ไม่ว่าเป็นเวลามากน้อย
เพราะยิ่งยืดระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ ก็เขยิบใกล้ถึงจุดอวสาน หายนะของเขามากขึ้นเท่านั้น
“อภิสิทธิ์” ก็คงมองเห็นช่องทาง “ยุบสภา” คือทางออกของบ้านเมือง ล้างกระดานเพื่อรีเซตประเทศกันใหม่
ทางออกที่เป็นทางตันของนักโทษชาย ดีลีต “ทักษิณ”!!