“กสิกรไทย ไพรเวทแบงก์” คาดเศรษฐกิจโลกถึงจุดต่ำสุด! พร้อมเปิด 5 กลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุน

  • สรุปปี 2562 จีดีพีโลกโต 3% ตลาดหุ้นโลกผลตอบแทนเฉลี่ย 23% Kbank เชื่อเศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดแล้ว
  • ปี 2563 คาดการณ์จีดีพีโลกโต 3.3% กระเตื้องขึ้นจากปีนี้ แต่ปัจจัยเสี่ยงคงเดิมคือ สงครามการค้าและ Brexit
  • ตลาดหุ้นปีหน้าคาดว่าให้ผลตอบแทน “Single Digit” หลังปีนี้น่าจะปิดปีด้วยกราฟสูง
  • กลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุน ระมัดระวังหุ้น กระจายลงทุนสินทรัพย์ที่ให้รายได้ประจำ เพิ่มความคล่องตัวของพอร์ต
  • ผลดำเนินงานกสิกรไทย ไพรเวทแบงก์ ลูกค้าเพิ่ม 4% AUM ลดลง แต่ลูกค้าเลือกลงทุนที่ไม่ใช่เงินฝากมากขึ้น

อีกหนึ่งปีเวียนมา “จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์” Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย ฉายภาพรีรันกันอีกครั้งว่าปี 2562 เกิดอะไรขึ้นบ้าง เริ่มต้นที่คาดการณ์จีดีพีโลกปีนี้น่าจะปิดที่ +3% โดยมีปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจทั้งโลก คือ สงครามการค้า Brexit และ การเปลี่ยนตัวประธานเฟดเป็น Jerome Powell นำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ย

จิรวัฒน์กล่าวว่า สองประการแรกคือปัจจัยลบที่ทำให้ตลาดหุ้นโลกปรับลดเฉลี่ย 15% ในช่วง 3 เดือนนับจากเดือนพฤศจิกายน 2561 ทำให้ปีนี้ตลาดหุ้นเปิดมาแบบไม่ค่อยสดใส แต่หลังจากเฟดเริ่มปรับลดดอกเบี้ยทำให้หลายประเทศปรับลดดอกเบี้ยตาม ตลาดหุ้นจึงฟื้นตัว

ผลตอบแทน YTD ของตลาดหุ้นโลกปี 2562 จึงขึ้นมา +23% มีกลุ่มตลาดเด่นคือ ตลาดหุ้นจีน +33% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ +28% ตลาดหุ้นยุโรป +25% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปีนี้ +2% เท่านั้น ดังนั้นหากใครจัดพอร์ตลงทุนในไทยเป็นหลักในช่วงปีนี้อาจเห็นพอร์ตอยู่ในแดนลบได้ แต่โดยรวมการลงทุนของปี 2562 เป็นปีที่ดีเมื่อเทียบกับ 2561

ปี 2563 เศรษฐกิจดีขึ้น หลังสงครามการค้าผ่อนแรงกดดัน

ไปต่อกันที่ปีหน้า Kbank คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลก “ถึงจุดต่ำสุดแล้ว” ดังนั้นปี 2563 จีดีพีน่าจะโต 3.3% เติบโตมากกว่าปีนี้ และถ้าหากปัจจัยลบอื่นๆ ไม่เกิดขึ้น (ยกตัวอย่างเช่น เกิด No-Deal Brexit หรือจีนกับสหรัฐฯ กลับมาตั้งกำแพงภาษี) โอกาสเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจจะยังเป็นศูนย์

สาเหตุที่ Kbank มองบวก มาจากเห็นสัญญาณดีของสงครามการค้าซึ่งขณะนี้จีนกับสหรัฐฯ อยู่ในช่วงสงบศึก โดยหยุดการขึ้นกำแพงภาษีรอบวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา แม้ว่ากำแพงภาษีที่เคยจัดเก็บจะลดลงเพียงบางส่วน แต่ไม่มีการขึ้นภาษีรอบใหม่ ซึ่งผลของการผ่อนคลายน่าจะมาจาก Donald Trump กำลังเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2563 ทำให้ต้องมีผลงานที่ดีในช่วงหาเสียง รวมถึงเศรษฐกิจฝั่งจีนเองแม้จะยังโตแต่ชะลอลงทำให้จีนต้องดูแลเศรษฐกิจประเทศมากขึ้น

ดังนั้น จิรวัฒน์สรุป ปัจจัยหลักที่ต้องจับตาปีหน้า คือ สงครามการค้า และ เลือกตั้งสหรัฐฯ โดยมองว่าแนวโน้มที่ Trump จะได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองมีสูง เนื่องจากมีผลงานเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม หากพรรคเดโมแครตซึ่งนำโดย Michael Bloomberg ชนะเลือกตั้งก็เชื่อว่าสหรัฐฯ จะยังทำสงครามการค้ากับจีนต่อไปเพียงแต่อาจเปลี่ยนวิธีการเท่านั้น

เปิด 5 กลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนปีหน้า

ด้านตลาดหุ้น นั้น จิรวัฒน์กล่าวว่าน่าจะเติบโตได้ Single Digit หรือสูงสุดไม่เกิน 9% เนื่องจากปีนี้ปิดปีด้วยฐานสูง แนะให้ระมัดระวังช่วงต้นปีซึ่งอาจมีปัจจัยลบกระทบจากสงครามการค้าหรือ Brexit ซึ่งตลาดอยู่ในช่วงพร้อมเทขายหุ้น

อาจจะเป็นปีที่ดีสำหรับตลาดหุ้นปี 2562 แต่ปีหน้านั้น Kbank มองว่าตลาดน่าจะโตแบบ Single Digit โดยแนะลงทุนในกลุ่มเฮลท์แคร์ เทคโนโลยี และพลังงาน รวมถึงตลาดเกิดใหม่บางประเทศ

ดังนั้น สำหรับปีหน้า กสิกรไทย ไพรเวทแบงก์ มีคำแนะนำ 5 กลยุทธ์ให้กับนักลงทุนในการจัดพอร์ต คือ

  1. กระจายความเสี่ยงและเพิ่มความคล่องตัวของพอร์ต ไม่ควรลงทุนทิ้งระยะยาว
  2. ป้องกันพอร์ตด้วยสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ และกลยุทธ์การลงทุนแบบ Hedged Fund ที่ใช้กลยุทธ์การ Long และ Short หุ้นพร้อมๆ กัน
  3. เน้นกลยุทธ์ Carry ในกลุ่ม High Yield ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าจากการให้รายได้ประจำ เช่น กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์
  4. ระมัดระวังกับการลงทุนในหุ้น โดยควรเลือกกลุ่มธุรกิจที่ยังมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดี เช่น หุ้นในกลุ่มเฮลท์แคร์ เทคโนโลยี และพลังงาน ไปจนถึง หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่บางประเทศยังน่าสนใจ
  5. สร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ทางเลือก อย่างอสังหาริมทรัพย์ หุ้นนอกตลาด และโครงสร้างพื้นฐานที่อาจมีความผันผวนทางด้านราคาตามตลาดน้อยกว่า แต่เหมาะสำหรับก้อนเงินลงทุนที่สามารถทิ้งไว้ได้ระยะยาว5 ปีขึ้นไป โดยลงทุนเป็นส่วนน้อยของพอร์ตเท่านั้น

“ไพรเวทแบงก์” เน้นดึงลูกค้าลงทุนส่วนที่ไม่ใช่เงินฝาก

สำหรับผลดำเนินงานของ กสิกรไทย ไพรเวทแบงก์ เองนั้น จิรวัฒน์เปิดเผยตัวเลขฐานลูกค้าทั้งหมด 11,611 ราย เติบโต 4% จากปีก่อน โดยลูกค้ามีเงินฝากเฉลี่ย 70 ล้านบาทต่อราย มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) 7.5 แสนล้านบาท ลดลง 0.2% อย่างไรก็ตาม จิรวัฒน์ชี้ว่า ใน AUM ทั้งหมด มีส่วนที่เป็นสินทรัพย์ลงทุนอยู่ 4.55 แสนล้านบาท เติบโต 7% หากนับเฉพาะที่เป็นสินทรัพย์ลงทุนซับซ้อน มีอยู่ 1.06 แสนล้านบาท เติบโตถึง 23%

หากคิดเป็นสัดส่วนคร่าวๆ คือ ลูกค้ากลุ่มไพรเวทแบงก์มีเงินฝากทั่วไปกับกสิกรไทย 30% แต่อีก 70% เป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ไม่ใช่เงินฝาก เช่น กองทุนทดแทนเงินฝาก ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการดำเนินงานที่ดีเพราะสะท้อนว่าลูกค้ามีความไว้วางใจให้บริหารสินทรัพย์ และหากเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนขึ้น ค่าธรรมเนียมการดำเนินการจะสูงขึ้น ทั้งนี้ ปีนี้ค่าธรรมเนียมของกสิกรไทย ไพรเวทแบงก์เติบโตเพียง 3% เทียบกับปีก่อนซึ่งโต 5.7% เพราะสถานการณ์มีความเสี่ยงทำให้ธนาคารเลือกแนะนำให้ลูกค้าลงทุนในรูปแบบเสี่ยงน้อยมากกว่า

“จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์” Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย

ในแง่ผลการลงทุน ปีนี้กสิกรไทย ไพรเวทแบงก์แนะนำลูกค้าปรับพอร์ตการลงทุน (K-Alpha) แบบกระจายเสี่ยงและลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ทำให้มีการเติบโตของพอร์ต K-Alpha ที่ 12.5% โดยความเสี่ยงพอร์ตอยู่ที่ 4.5% เท่านั้น ทำให้ผลตอบแทนสูงกว่าความเสี่ยง 2.8 เท่า

นอกจากนี้ ยังออกกองทุนนวัตกรรมใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น กองทุน K-CHANGE เพื่อลงทุนในบริษัทที่ประกอบการเพื่อสังคม กองทุน Private Equity Fund ลงทุนในบริษัทนอกตลาดที่น่าสนใจ กองทุน Fixed Maturity ลงทุนในตราสารหนี้เอเชียและให้ผลตอบแทนชัดเจน กองทุน K-GLAM กองทุนผสมที่ดูเรื่องความเสี่ยงเป็นฐาน

ส่วนเป้าหมายปี 2563 จิรวัฒน์มองเป้าเพิ่มจำนวนลูกค้าอีก 4% ส่วน AUM น่าจะยังคงเดิม แต่ต้องการเพิ่มสัดส่วนให้ลูกค้าเลือกลงทุนอื่นที่ไม่ใช่เงินฝากเพิ่มขึ้นเป็น 80% ของสินทรัพย์ภายใต้การจัดการทั้งหมด