-
ฝรั่งเศสเตือนสหรัฐฯ เตรียมโต้กลับหากทรัมป์ออกนโยบายกำแพงภาษีตามแผน ซึ่งจะกระทบสินค้าจากเมืองน้ำหอมมูลค่ารวมกว่า 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
-
รัฐบาล ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนตั้งแต่ปีก่อนว่าจะขึ้นภาษีสูงสุด 100% สำหรับผลิตภัณฑ์กระเป๋าถือ ไวน์ และสินค้าอื่นๆ จากฝรั่งเศส หลังจากฝรั่งเศสออกกฎหมายเก็บภาษีบริการดิจิทัลเมื่อเดือน ก.ค. 2019
-
สหรัฐฯ มีแผนที่จะขึ้นกำแพงภาษีต่อสหภาพยุโรปอยู่แล้ว เนื่องจากข้อพิพาทที่อียูอาจมีการให้เงินอุดหนุนผิดกฎหมายแก่บริษัท Airbus บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินคู่แข่งของ Boeing จากสหรัฐฯ
เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ฝรั่งเศสออกโรงเตือนสหรัฐอเมริกาว่า รัฐบาลจะตอบโต้กลับหากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจากฝรั่งเศสตามแผนที่วางไว้ โดย “บรูโน่ เลอ แมร์” รัฐมนตรีการคลังของฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์ทางสถานีวิทยุว่า รัฐบาลฝรั่งเศสจะตอบโต้กลับทันทีหากสหรัฐฯ ขึ้นภาษี และจะดึงมือองค์การการค้าโลก (WTO) เข้ามาเกี่ยวข้อง
รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะขึ้นภาษีสูงสุดถึง 100% สำหรับสินค้าอย่างกระเป๋าถือ ไวน์ ชีส และสินค้าอื่นๆ จากฝรั่งเศส ซึ่งจะมีผลกระทบกับสินค้าฝรั่งเศสมูลค่ารวมกว่า 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
แผนการขึ้นภาษีครั้งนี้เป็นไปเพื่อโต้กลับหลังฝรั่งเศสออกนโยบายจัดเก็บภาษีจากบริษัทเทคโนโลยีหรือ “ภาษีดิจิทัล” เมื่อปีก่อน ฝั่งฝรั่งเศสให้เหตุผลในการจัดเก็บภาษีดิจิทัลว่า เป็นเพราะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่มักจะเลี่ยงภาษีโดยการจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศอื่นแทน นอกจากฝรั่งเศสแล้ว ประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรปก็มีแผนที่จะเก็บภาษีดิจิทัลเช่นเดียวกัน
ภาษีดิจิทัลของฝรั่งเศสนั้นจะจัดเก็บจากบริษัทเทคโนโลยีที่มีรายได้รวมทั่วโลกอย่างต่ำ 750 ล้านยูโร และมียอดขายดิจิทัลในประเทศฝรั่งเศสอย่างต่ำ 25 ล้านยูโร ซึ่งฝั่งสหรัฐฯ กล่าวว่า นโยบายนี้ “เป็นการกีดกันบริษัทอเมริกัน ไม่สอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของนโยบายภาษีระดับสากล และมีการผลักภาระอย่างไม่ปกติที่ส่งผลกระทบกับบริษัทอเมริกัน”
“หากสหรัฐฯ ตัดสินใจจะใช้มาตรการทางภาษีต่ออียูเพื่อตอบโต้ภาษีดิจิทัลของฝรั่งเศส การกระทำนี้จะกระทบความสัมพันธ์ของสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างลึกซึ้งและยาวนาน ในห้วงเวลาที่เราจำเป็นต้องยืนหยัดสามัคคีกันเช่นนี้” เลอ แมร์ เขียนในจดหมายที่ส่งถึง “โรเบิร์ต ไลท์ธิเซอร์” ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน
นอกจากประเด็นใหม่อย่างภาษีดิจิทัล สหรัฐฯ มีแผนที่จะขึ้นภาษีกับอียูอยู่ก่อนแล้ว เนื่องมาจากประเด็นฟ้องร้องที่ทางสหรัฐฯ กล่าวว่าอียูมีการให้เงินอุดหนุนไม่เป็นธรรม โดยให้กู้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่บริษัท Airbus ผู้ผลิตเครื่องบินรายสำคัญ และเป็นคู่แข่งของบริษัท Boeing จากสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯ ต้องการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าอื่นๆ เพื่อตอบโต้กลับ