-
SCB วิเคราะห์ตลาดหุ้นปีหนู ประเมินเศรษฐกิจไทยกระเตื้อง สภาวะตลาดหุ้นไทยปีนี้สดใส หลังจากปีก่อนไม่เติบโต สวนทางตลาดประเทศพัฒนาแล้ว
-
จับตาปัจจัยลบต้นปี 3 ด้าน ความขัดแย้งสหรัฐฯ-อิหร่าน, ภัยแล้ง, โรคปอดปริศนาในจีน เชื่อว่าผลกระทบไม่ร้ายแรง แต่อาจมีผลกับหุ้นบางกลุ่ม
-
ภาพรวมครึ่งปีแรก 2563 แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มวัฏจักรที่ราคาไม่สูงแต่ประมาณการกำไรดี เช่น กลุ่มพลังงาน ธนาคาร การแพทย์ ลงทุนเป็นพอร์ตระยะสั้น ทำให้ปีนี้เป็น “ปีแห่งคนกล้า” รับความเสี่ยงเพื่อทำกำไร
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นปี 2563 พร้อมความเห็นต่อสถานการณ์ความเสี่ยงต้นปีโดย SCBS “สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดข้อมูลคาดการณ์เศรษฐกิจโลก จีดีพีโลกเติบโตที่ 3.1% ใกล้เคียงปีก่อน โดยจีดีพีสหรัฐฯ น่าจะเติบโตลดลงเหลือ 1.7% เช่นเดียวกับจีนซึ่งจีดีพีน่าจะโตลดลงเหลือ 5.7% ในขณะที่ประเทศไทยนั้น SCBS เชื่อว่าจีดีพีน่าจะโต 2.8% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งเติบโตที่ 2.5%
สาเหตุที่มองเศรษฐกิจไทยเชิงบวก เนื่องจากงบประมาณภาครัฐกำลังจะผ่านความเห็นชอบ ทำให้เม็ดเงินลงทุนของรัฐที่ล่าช้าไปในปีก่อนจะเข้าสู่ระบบภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้แทน อีกส่วนหนึ่งคือท่าทีของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีนโยบายผ่อนคลายมากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการเข้มงวดอัตรา LTV สำหรับสินเชื่อบ้านซึ่งอาจจะปลดล็อกให้เข้าถึงง่ายขึ้นเร็วๆ นี้ เป็นผลดีกับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม สุกิจชี้ให้จับตาเศรษฐกิจจีนเพิ่มเติม แม้ว่าทุกสำนักจะคาดการณ์ว่าจีดีพีจะโตต่ำกว่า 6% แต่เป็นไปได้ว่าปีนี้จีนจะเปลี่ยนมาใช้นโยบายเชิงรุกเพื่อดันการเติบโตของเศรษฐกิจให้มากกว่า 6%
ส่วนสภาวะ ตลาดหุ้น มองว่าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้ปรับตัวสูงขึ้นมากตั้งแต่ปีก่อน ทำให้ปีนี้น่าจะชนเพดาน และกลายเป็นตลาดหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะอาเซียนที่มีโอกาสปรับขึ้น เจาะไปที่ ตลาดหุ้นไทย ซึ่งปีก่อนไม่เติบโตขึ้น ปีนี้น่าจะเป็นโอกาสการลงทุน คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,550-1,750 จุด
เรื่องร้อนต้นปีหนู : ศึกสหรัฐฯ-อิหร่าน ภัยแล้ง และโรคปอด
สุกิจยังกล่าวถึงปัจจัยลบต้นปี 2563 ซึ่งหลายฝ่ายมีความกังวล เรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ “ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน” จากท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ในการแถลงวานนี้และเสียงตอบรับของประเทศอื่นในโลก เชื่อว่าความขัดแย้งนี้ไม่น่าจะยกระดับสู่สงครามเต็มรูปแบบ เป็นเพียงความขัดแย้งของ 2 ประเทศ
ส่วนการที่อิหร่านอาจจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ช่องแคบที่เป็นทางผ่านของปริมาณน้ำมันดิบ 70% ของโลก สุกิจมองว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากจะเป็นการตอบโต้ที่กระทบกับทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะสหรัฐอเมริกา และอิหร่านไม่น่าจะเปิดแผลความขัดแย้งกับประเทศอื่นเพิ่ม ในขณะที่ประเทศอื่นยังไม่มีท่าทีสนับสนุนสหรัฐฯ ในการโจมตีอิหร่านแต่อย่างใด
ดังนั้นเหตุการณ์นี้น่าจะมีผลทางจิตวิทยา ทำให้ราคาน้ำมันดิบบวกเพิ่มได้อีก 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือไม่เกิน 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ไม่น่าจะเกิน 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ยังไม่ถึงระดับที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อน่ากังวล เพราะซัพพลายน้ำมันดิบในมือสหรัฐฯ ยังมีสูง ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะมีผลเชิงบวกกับธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี แต่มีผลลบกับกลุ่มการบินและเดินเรือทางทะเล
ปัจจัยลบต่อมาคือ “ภัยแล้ง” จะมีผลกระทบกับความสามารถในการใช้จ่ายของกลุ่มเกษตรกร ซึ่งจะมีผลต่อเป็นลูกโซ่กับธุรกิจค้าปลีก แต่อาจไม่ร้ายแรงมาก เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายเยียวยาผู้ประสบภัยแล้ว
ส่วนสุดท้ายคือ “โรคปอดระบาดในจีน” จะเป็นผลกระทบเพิ่มเติมต่อธุรกิจท่องเที่ยวและร้านอาหาร อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจนี้มีปัญหาเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมซึ่งมีภาวะล้นตลาด
แนะลงทุน “หุ้นวัฏจักร” ทำกำไรระยะสั้น
จากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น SCBS แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนปีนี้ ให้นักลงทุนถือครองหุ้นปลอดภัยคุณภาพสูงต่อไปในระยะยาว และมองหาหุ้นวัฏจักรที่มีค่า beta สูงจัดพอร์ตซื้อขายระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน โดยในไตรมาส 1/63 แนะนำหุ้นที่มีลักษณะเหล่านี้ 1.หุ้น global play กำไรฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก 2.ราคาน่าสนใจ ราคาลงต่ำกว่าที่ควรเมื่อปี 2562 3.บริษัทมีการปรับประมาณการกำไรขึ้น มีประเด็นการเติบโตเฉพาะตัว
ทำให้กลุ่มหุ้นวัฏจักรที่น่าจะเติบโตดีในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี (เช่น IVL) โรงกลั่น (TOP) กลุ่มพลังงาน กลุ่มการแพทย์ (BCH) กลุ่มธนาคาร (TCAP, BBL) กลุ่มขนส่ง กลุ่มสื่อสาร กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนภาพรวมตลอดปี 2563 เชื่อว่า ในไตรมาส 1 หุ้นจะเป็นขาขึ้นแต่ได้รับผลกระทบบ้างจากความเสี่ยงระดับโลก ไตรมาส 2 จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่วนไตรมาส 3-4 น่าจะแกว่งตัวหรือปรับลง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ