KTC เปิดกำไรปี 62 ทะลุ 5.5 พันล้าน ทำ New High ต่อเนื่อง 7 ปีซ้อน!

KTC ทุบสถิติใหม่ต่อเนื่อง 7 ปีซ้อน เปิดกำไรสุทธิปี 2562 ที่ 5,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% อัตราการเติบโตของยอดลูกหนี้บัตรเครดิตสูงสุดในรอบ 3 ปี คุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในอัตราต่ำต่อเนื่อง

ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคทีซีหรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจที่ยืดเยื้อในปี 2562 ได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับ KTC ได้ปรับเปลี่ยนแผนงานระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเตรียมรับมือกับหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยเฉพาะสภาพเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องถึงปี 2563″

KTC มีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยในปี 2562 สามารถทำกำไรสุทธิได้ 5,524 ล้านบาท และมีอัตราเติบโตของยอดลูกหนี้ธุรกิจบัตรเครดิตสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งมีพอร์ตลูกหนี้รวมและยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่สูงขึ้น และมีการควบคุมคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ที่ดีต่อเนื่อง โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย

ปี 2563 จะเป็นปีที่ท้าทายและคาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่สูงมาก จะมุ่งควบคุมคุณภาพหนี้ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น รวมทั้งจะเพิ่มฐานบัตร พอร์ตลูกหนี้ ปริมาณสินเชื่อ ด้วยค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่มากขึ้นเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

โดยเป้าหมายที่คาดไว้สำหรับธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลและสินเชื่อที่มีทะเบียนรถยนต์เป็นประกันภายใต้ใบอนุญาตของสินเชื่อบุคคล ได้แก่ ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรโดยรวมไม่ต่ำกว่า 15% พอร์ตลูกหนี้รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 10% คุม NPL อย่างรัดกุมแต่อาจจะมีอัตราสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และรักษาระดับกำไรให้ไม่น้อยกว่าเดิม

สำหรับการดำเนิน 3 ธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถยนต์เป็นประกัน ธุรกิจสินเชื่อพิโก ไฟแนนซ์ และธุรกิจสินเชื่อนาโน ไฟแนนซ์ เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ แต่ยังเร็วเกินกว่าที่จะกำหนดเป้าหมายการเติบโตในอนาคตที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม เคทีซีตั้งใจพัฒนาธุรกิจดังกล่าวให้เป็นฐานของบริษัทที่เข้มแข็งในอนาคต โดยจะดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและละเอียดรอบคอบ ในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเป็นส่วนประกอบของกระบวนการทำงานที่ทันสมัยและแตกต่างจากเดิม การทดสอบและการเข้าสู่ตลาดจึงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรัด โดยเฉพาะท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่มีความท้าทายสูง บริษัทต้องประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตให้ชัดเจนระหว่างทำการทดสอบทุกครั้ง สำหรับการบังคับใช้มาตรฐานบัญชี TFRS9 ในปี 2563 บริษัทฯ มีความพร้อมรับมือไว้แล้ว โดยจะไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานจริงของบริษัทฯ เพียงแต่จะมีการรายงานตัวเลขทางการเงินที่แตกต่างไปจากเดิม”

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 เคทีซีมีผลประกอบการเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ดังนี้

  • กำไรสุทธิ 5,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5%
  • พอร์ตลูกหนี้การค้ารวมเท่ากับ 85,834 ล้านบาท (เติบโต 9.8%)
  • ฐานสมาชิกรวม 3.4 ล้านบัญชี (เติบโต 2%)
  • แบ่งเป็นธุรกิจบัตรเครดิต 2,510,914 บัตร (ขยายตัว 5.2%)
  • พอร์ตลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 56,653 ล้านบาท (ขยายตัว 10.9%)
  • อัตราเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสำหรับปี 2562 เท่ากับ 10.6%
  • NPL รวม ลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 1.06% NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 0.93%
  • ธุรกิจสินเชื่อบุคคลมีจำนวนทั้งสิ้น 888,342 บัญชี (ลดลง 6.7%)
  • ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 28,933 ล้านบาท (เติบโต 7.9%)
  • NPL ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 0.92%

ในปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 22,625 เพิ่มขึ้น 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 7.5% รายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลเพิ่มขึ้น 7.9% รายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) เพิ่มขึ้น 4.9% และรายได้อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหนี้สูญได้รับคืนคิดเป็น 87.7% ของรายได้อื่นๆ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายการบริหารงานเท่ากับ 7,722 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่สูงขึ้น 11.5% ในการเพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่ทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล และการเพิ่มโปรโมชันการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยที่ค่าใช้จ่ายด้านบุคคล ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานอื่นๆ และค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 3.2%  0.5%  และ 0.3% ตามลำดับ บริษัทฯ มีหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มที่ 12.8% จากการตั้งสำรองและตัดหนี้สูญเพื่อคัดกรองให้พอร์ตลูกหนี้มีคุณภาพ ส่วนค่าใช้จ่ายทางการเงินใกล้เคียงเดิมเนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการเงินได้ดี เป็นผลให้บริษัทมีกำไรเติบโตต่อเนื่อง และการมุ่งเพิ่มฐานลูกค้าให้มากขึ้นจะเป็นการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนในอนาคต