กสิกรไทย ห่วงภัยแล้งเเละปัญหาฝุ่น PM 2.5 ฉุดเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนพุ่งที่ระดับ 79% ต่อจีดีพี ลุ้นงบประมาณปี 2563 ดันลงทุนรัฐโต มองสงครามการค้าเฟส 2 เจราจรยาก ด้านตลาดหุ้นไทยยังไม่เเน่นอน เเนะชะลอลงทุนหุ้น 5 กลุ่มใหญ่ในไตรมาสเเรก
Positioning สรุปประเด็นสำคัญจากสัมมนา “จับตาเศรษฐกิจเเละหุ้นปังปีชวด” จัดโดยธนาคารกสิกรไทย กับมุมมองสภาพเศรษฐกิจโลก ความคืบหน้าของสงครามการค้าเเละความท้าทายของเศรษฐกิจไทยที่มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ปัญหาฝุ่น-ภัยเเล้ง ฉุดจีดีพี
กอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (Kbank) มองว่าหากการเจรจาของสหรัฐเเละจีน บรรเทาความตึงเครียดของสงครามการค้าได้มาก เศรษฐกิจไทยปีนี้ก็จะขยายตัวที่ 2.7% พร้อมด้วยปัจจัยสำคัญจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยคาดว่าจะเบิกจ่ายได้ภายในไตรมาส 2/2563
“ภัยแล้งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากระทบต่อเศรษฐกิจปีนี้ คิดเป็นเม็ดเงินมากกว่า 20,000 ล้านบาท เเละหากภัยแล้งเสียหายมากกว่าที่ประเมินไว้ ก็คงมีผลต่อการปรับประมาณการจีดีพีปีนี้ใหม่อีกครั้ง”
ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่าเรื่องฝุ่น PM2.5 ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยสูงถึง 6 พันล้านบาท
ห่วงหนี้ครัวเรือนระดับ 79% ความเสี่ยงภาวะ “ถดถอย” เพิ่มขึ้น
ด้านการปรับเกณฑ์มาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจะเพิ่มความยืนหยุ่นให้กับการซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
สิ่งที่ต้องจับตามอง คือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย ที่มีอยู่ถึง 79% ต่อจีดีพี และหนี้ครัวเรือนต่อรายได้สูงถึง 220% สะท้อนว่าไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคได้อีกทั้งยังเป็นอุปสรรคต่อการบริโภคของครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการดูดซับอุปทานอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอุปทานในคอนโดมิเนียม
“ดุลบัญชีเดินสะพัดปีนี้คาดว่ายังเกินดุลอยู่ที่ 33,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใกล้เคียงปีก่อน สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่สมดุล เนื่องจากภาครัฐเก็บภาษีในระดับสูงมีการหาช่องทางการเก็บภาษีเพื่อสร้างรายได้ ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง จึงอยากให้ภาครัฐปรับภาษีใหม่ทั้งหมด เพื่อกระตุ้นการนำเข้าสินค้า” กอบสิทธิ์ระบุ
“ไทยมีโอกาสเสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 23% “
ด้านค่าเงินบาทคาดจะยังแข็งค่าจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดลง 2 ครั้ง และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่คาดอยู่ที่ 31,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ ช่วงครึ่งปีแรกค่าเงินบาทจะแข็งค่าที่ 29.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และสิ้นปีอยู่ที่ 29.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อ่านเพิ่มเติม : สรุปวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจ 2020 ส่งออก-ค่าเงิน-ตลาดหุ้นไทย
สงครามการค้า เฟส 2 ไม่ง่าย
ด้าน ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในสมัยโดนัลด์ ทรัมป์มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ซึ่งตอบโจทย์ชนชั้นกลางชาวอเมริกันที่ชื่นชอบลงทุนในหุ้น ทรัมป์จึงจะพยายามไม่ให้ตกลงไปจากนี้ เพราะต้องการฐานเสียงเลือกตั้ง
โดยมองการเจรจาเกี่ยวกับสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ว่า เเม้ว่าจะผ่านไปได้ในเฟสเเรกเเต่เฟสสองจะไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะจะเเยกย่อยเป็น 2-3 ยกต่อเฟส เพื่อกระตุ้นให้เกิด “ข่าวดี” ที่ส่งผลต่อหุ้น ซึ่งคาดว่าหากมีข้อตกลงเฟส 2 อีก ก็น่าจะเป็นช่วง “เดือนมิถุนายน”
“ความขัดเเย้งที่น่าจับตามองในปีนี้ จะไม่ใช่ความขัดเเย้งด้านเศรษฐกิจอีกต่อไปเเต่จะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของจีนเเละสหรัฐฯ เช่นในกรณีประท้วงฮ่องกงเเละเลือกตั้งไต้หวัน อีกทั้งการโจมตีจีน ยังเป็นการหาเสียงของ
ทั้งพรรคเดโมเเครตเเละรีพับลีกัน ซึ่งจะเป็นการขัดขาการเจราจาสงครามการค้าในช่วงต่อไป”
กอบสิทธิ์ เสริมว่า สหรัฐฯ ยังตั้งเงื่อนไขกับจีน โดยให้จีนซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 2 ปีข้างหน้า และยังไม่ปลดล็อกภาษีที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ประมาณ 370,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกระทบการค้า ส่งอกของประเทศคู่ค้า เช่น ไทยที่คาดว่าการส่งออกปีนี้จะติดลบ 1% นอกจากนี้ปัญหาความขัดเเย้งในทะเลจีนใต้ก็ต้องเผ้าระวังที่จะกระทบไทย
ทั้งนี้ มองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในช่วงกลางปีนี้ เเละเศรษฐกิจจีนเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้น
อ่านเพิ่มเติม : มองเศรษฐกิจรอบด้าน เปิดวิเคราะห์ SCB EIC ครัวเรือนไทยรายได้-ใช้จ่ายลดในรอบ 10 ปี หนี้สูง
หุ้นไทย Q1/63 ยังเผชิญความไม่แน่นอน
ด้าน สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มองว่า ปัจจัยเสี่ยงที่จะเข้ามากระทบเศรษฐกิจไทยที่ต้องให้ความสำคัญคือ 1) ปัญหาฝุ่น PM 2.5 2) ภัยเเล้งที่คาดว่าจะอยู่ในระดับวิกฤต เเละ 3 ) โรคระบาด
“ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมากที่สุด”
สรพล ประเมินว่า มุมมองการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ในไตรมาส 1/63จะอยู่ในกรอบ 1,555-1,630 จุด เเละคาดว่า SET Index สิ้นปีจะอยู่ที่ 1,725 จุด
สำหรับตลาดหุ้นไทย ยังมีผลกระทบจากความไม่แน่นอน เเละ ควรชะลอการลงทุนหุ้นไปก่อนในไตรมาส 1/63 โดยเฉพาะใน 5 กลุ่ม ดังนี้
1.กลุ่มไอซีที จากปัจจัยความไม่ชัดเจนในการประมูล 5G ว่า CAT และ TOT จะเข้าร่วมหรือไม่ เเละหากเข้าร่วมก็จะส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มขึ้น
2.กลุ่มค้าปลีก มีความไม่เเน่นอนจากประเด็นการประมูลซื้อกิจการเทสโก้ โลตัส ในประเทศไทย ซึ่งตอนนี้มีคู่เเข่ง 3 รายใหญ่อย่าง กลุ่มเซ็นทรัล , กลุ่มซีพีเเละกลุ่มบีซีเจ ที่ไม่ว่าเจ้าไหนจะชนะการประมูลก็ต้องพิจารณาถึงแผนการระดมเงินทุนในการซื้อกิจการเทสโก้ โลตัส ว่าจะใช้แหล่งเงินทุนจากช่องมางใดบ้าง และจำเป็นต้องเพิ่มทุนหรือไม่
3.กลุ่มปิโตรเคมี ที่เกี่ยวข้องการผลิตพลาสติก เพราะต้องคิดในระยะยาวว่าการรณรงค์ลดใช้พลาสติกจะมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างไร
4.กลุ่มท่องเที่ยว มีปัจจัยความไม่เเน่นอนจากโรคระบาดที่สร้างความกังวลให้ผู้คน เช่นไวรัสจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ทำให้การท่องเที่ยวเกิดการชะลอตัว
5. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จากปริมาณสต็อกที่อยู่อาศัยในตลาดยังเหลืออยู่มาก และกำลังซื้อที่ชะลอตัว คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น
ส่วนกลุ่มหุ้นที่มีความโดดเด่นในไตรมาส 1/63 ได้แก่
1. กลุ่ม Non-Bank ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารหนี้เสีย ที่จะได้ประโยชน์ไนภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี เช่น JMT
2. กลุ่มพลังงานต้นน้ำ เช่น PTTEP
3. กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยได้รับเเรงหนุนจากภาครัฐที่จะทยอยเบิกจ่ายใช้งบประมาณในการลงทุนโครงการต่างๆ หุ้นแนะนำ คือ STEC
4. กลุ่มโรงไฟฟ้า
ส้วนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มองว่าในปีนี้ยังมีแรงกดดันจากนโยบายการควบคุมจากภาครัฐและธปท. และปัญหาหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่มองว่าในระยะยาวกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะกลับมาฟื้นตัวได้
สรุปทิศทางเศรษฐกิจ ปี 2020
• เศรษฐกิจโลก
มีสัญญาณดีขึ้นหลังจากการลงจามข้อตกลงการค้าระยะที่ 1 ระหว่างสหรัฐฯ-จีน โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งนาโดยการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การผลิตและลงทุนยังอ่อนแอ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานในระยะข้างหน้า ทาให้ประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในช่วงกลางปี 2020 ด้านเศรษฐกิจจีนเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้น
• เศรษฐกิจไทย
มีแนวโน้มขยายตัวตามแนวโน้มการลงทุนจากแรงสนับสนุนของการใช้จ่ายภาครัฐ ขณะที่การส่งออกไทยยังมีแนวโน้มหดตัวจากผลของมาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯ-จีนเดิมที่ยังคงอยู่ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตของจีนทาให้การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมอ่อนแอลง ส่งผลถึงการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ลดลงและการบริโภคในประเทศชะลอตัว
• เงินบาท
มีแนวโน้มอ่อนค่าลงบ้างในช่วงเดือนนี้ หลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคในปี 2019
ประเมินว่าแนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินในเอเชีย คาดว่าค่าเงินบาทจะเป็นที่น่าสนใจน้อยกว่าค่าเงินในเอเชียสกุลอื่นๆ นอกจากนี้ ธปท. จะมีการออกมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์การเปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้ายเพิ่มเติมเพื่อลดแรงกดดันบาทแข็ง ทาให้คาดว่าเงินบาทจะมีช่องให้อ่อนค่าลงบ้างในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดไทย และข้อจากัดจาก Policy space ของ ธปท. ที่น้อยจะกดดันให้เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าในระยะยาว