Wednesday, November 6, 2024
Home Strategic Move 2563 ยังหนัก! “แสนสิริ” เดินเกมระมัดระวัง ลดเปิดตัวใหม่ เน้นขายสต็อก หันเจาะตลาดกลาง

2563 ยังหนัก! “แสนสิริ” เดินเกมระมัดระวัง ลดเปิดตัวใหม่ เน้นขายสต็อก หันเจาะตลาดกลาง

  • แสนสิริ เปิดเผยผลดำเนินงานปี 2562 ยอดพรีเซลตกฮวบเหลือ 21,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 26,300 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิเติบโต 20% เป็น 2,400 ล้านบาท
  • ปี 2563 เดินเกมแบบระมัดระวัง วางแผนเปิดโครงการใหม่ 18 โครงการ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท เน้นตลาดแมส เจาะระดับกลางถึงกลางล่าง งดเปิดคอนโดฯ ระดับลักชัวรี
  • เพิ่มเป้าพรีเซลปีนี้ 38% เป็น 29,000 ล้านบาท เร่งระบายสต็อกคอนโดฯ พร้อมโอน
  • ไวรัส COVID-19 กระทบตลาดนักลงทุนชาวจีนหายวูบ แสนสิริผ่อนผันการโอนให้ลูกค้าจีน 1-2 เดือน

เจ้าตลาดบ้านและคอนโดฯ หรูต้องหันมาจับตลาดแมสเจาะลูกค้าเรียลดีมานด์อย่างต่อเนื่อง หลังบรรยากาศในตลาดไม่เอื้ออำนวยกับนักลงทุน โดย “วันจักร์ บุรณศิริ” ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ และ “อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ร่วมกันแถลงข่าวผลการดำเนินงานปี 2562 และ กลยุทธ์ปี 2563

วันจักร์กล่าวว่า ปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 20 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ทำยอดพรีเซล 21,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 26,300 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากปีก่อนหน้า แต่กำไรสุทธิแตะ 2,400 ล้านบาท เติบโต 20%

สำหรับยอดพรีเซลนั้น Positioning รายงานจากข้อมูลของแสนสิริเมื่อปี 2561 พบว่า ยอดพรีเซลปี 2562 ลดลงจากปีก่อนหน้าไปถึง 56% หลังจากเมื่อปี 2561 นับเป็นปีที่ดีที่สุดของแสนสิริ ตุนยอดขายไปถึง 48,500 ล้านบาท เนื่องจากปี 2562 แสนสิริได้รับผลกระทบจากมาตรการเข้มงวดอัตรา LTV ของแบงก์ชาติ ทำให้ยอดซื้อชะลอตัว

(ซ้าย) “อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ และ (ขวา) “วันจักร์ บุรณศิริ” ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

 

รุกตลาดกลางถึงกลางล่างเต็มตัว

มาถึงปี 2563 สภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจยังไม่เป็นใจ โดย “อุทัย” กล่าวถึงแนวโน้มจีดีพีประเทศไทยที่อาจเติบโตต่ำกว่า 2% ทำให้แสนสิริระมัดระวังการเปิดโครงการใหม่ จะดูตามสถานการณ์ สามารถปรับลดหรือเพิ่มได้เสมอ รวมถึงจะเน้นโครงการ “ตลาดแมส” เป็นกลุ่มระดับกลางและกลางล่างเป็นหลัก ทำให้ปีนี้จะไม่ได้เห็นโครงการระดับลักชัวรีจากแสนสิริเลย

เบื้องต้นบริษัทตั้งเป้าเปิดตัวไว้ 18 โครงการ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท จำนวนโครงการลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย แต่มูลค่ารวมลดลงพอสมควรเนื่องจากปีนี้จะเน้นโครงการขนาดเล็ก เพื่อปิดการขายทั้งโครงการได้เร็ว ลดความเสี่ยงการแบกภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ใน 18 โครงการดังกล่าว แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท, ทาวน์เฮาส์ 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท

แบรนด์ที่จะลงตลาดปีนี้ ในกลุ่มคอนโดฯ ได้แก่ dcondo, The Base และ The Line (ร่วมทุนกับ BTS) ราคาเริ่มต้น 1.69-1.99 ล้านบาท แย้ม 3 ทำเลที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้คือ รามคำแหง, เชียงใหม่ และรังสิต ส่วนทาวน์เฮาส์จะลงแบรนด์ สิริ เพลส และ สิริ เรสซิเดนส์ ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท ปิดท้ายบ้านเดี่ยวลงแบรนด์ อณาสิริ และ สราญสิริ ราคาเริ่มต้น 1.99-5.29 ล้านบาท สำหรับแนวราบจะมีทำเลใหม่คือ ศรีวารี, ประชาอุทิศ และป่าคลอก จ.ภูเก็ต

“ลดการเปิดตัวเพื่อให้เหมาะกับสภาพตลาด วันนี้เรามองภาพว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพัก เพราะยังไม่เห็นสัญญาณที่ดีทั้งเศรษฐกิจมหภาคและมีการระบาดของไวรัส COVID-19 ด้วย” วันจักร์กล่าว

“เรามีแลนด์แบงก์รออยู่หลายโครงการแต่ยังไม่เปิดตัว แต่ถ้าเห็นสัญญาณบวกเมื่อไหร่ เราพร้อมจะเพิ่มโครงการได้ทันที” อุทัยกล่าวเสริม

 

เร่งระบายสต็อก 12,000 ล้านบาท

ด้านเป้าหมายปี 2563 แสนสิริวางเป้ายอดพรีเซลที่ 29,000 ล้านบาท เติบโตถึง 37% ส่วนเป้ารับรู้รายได้อยู่ที่ 27,000 ล้านบาท โต 2.6% จากปีก่อน โดยมีแบ็กล็อกรอโอนแล้ว 24,000 ล้านบาท (แบ่งเป็นโครงการของบริษัท 10,000 ล้านบาท และโครงการ JV 14,000 ล้านบาท)

มูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงแต่แสนสิริยังวางเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นสูง เป็นไปได้ว่าปีนี้ภาพของแสนสิริจะเน้นงานขายโครงการในมือก่อน ทั้งที่อยู่ระหว่างสร้างและโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน

โดยวันจักร์กล่าวว่า ปัจจุบันแสนสิริมีสต็อกพร้อมโอน 12,000 ล้านบาท วางเป้าว่าจะระบายสต็อกจนเหลือ 6,000-7,000 ล้านบาทให้ได้ภายในสิ้นปีนี้

“ตัวเลขดูค่อนข้างสูงเพราะช่วงไตรมาส 4 ปีก่อนเรามีคอนโดฯ สร้างเสร็จใหม่ค่อนข้างเยอะ ทำให้ดูมีสต็อกเหลือมากหน่อย แต่เราจะเร่งขายอย่างต่อเนื่อง” วันจักร์กล่าว “กำลังซื้ออาจจะอ่อนตัว แต่เราได้ทำการบ้านไปแล้วทั้ง 4 เรื่อง คือดีไซน์ คุณภาพ การบริการ และแบรนด์ ดังนั้นเราเชื่อว่าจะชนะในตลาด”

 

ผ่อนผันลูกค้าจีนถูกไวรัสกระทบ 1-2 เดือน

ด้านลูกค้าชาวจีนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 อุทัยกล่าวว่า ในแง่ยอดซื้อใหม่เรียกได้ว่า “เงียบ” ไปในตอนนี้ แต่ในความโชคร้ายมีความโชคดีของบริษัท คือลูกค้าจีนล็อตใหญ่รวมมูลค่า 12,000 ล้านบาทมีการโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่ปี 2562 ยังเหลือลูกค้าจีนอีก 500 ราย รวมมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท จาก 8 โครงการแนวสูงที่จะโอนภายในปีนี้

สำหรับโครงการที่จะโอนไตรมาส 2/63 เริ่มมีสัญญาณมาแล้วว่าลูกค้าจีนอาจจะไม่พร้อมทางการเงิน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแสนสิริเก็บเงินดาวน์ลูกค้าต่างชาติสูง 30% ทำให้จะพิจารณาผ่อนผันยืดระยะเวลาการโอนให้ 1-2 เดือน โดยพิจารณาเป็นรายๆ ไป

ลูกค้านักลงทุนจีนของแสนสิริลดลงเกินครึ่งมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จากสงครามการค้าทำให้ลูกค้าจีนลดการลงทุน เมื่อเผชิญการระบาดของไวรัสยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไป

“เรายังมองว่าเมื่อสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลาย ลูกค้าชาวจีนจะกลับมา โดยเรามีสินค้าพร้อม มีฐานเอเย่นต์และการสร้างแบรนด์กับคนจีนมานาน 3 ปี ดังนั้นถ้าลูกค้าจีนกลับมาเมื่อไหร่เราน่าจะได้เปรียบในตลาดนี้” อุทัยกล่าว