นี่จะเป็นสัญญาณแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์หรือไม่ เมื่อบางประเทศในทวีปยุโรปกำลังจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เป็นบางส่วนแล้ว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถูกแช่แข็งให้กลับมาเดินได้บ้าง อย่างไรก็ตาม WHO ออกโรงเตือนก่อนหน้านี้ว่า การหยุดใช้นโยบายล็อกดาวน์เร็วเกินไปอาจจะทำให้เกิดการระบาดระลอกสอง
หลังการระบาดของไวรัส COVID-19 หลายประเทศในทวีปยุโรปมีมาตรการล็อกดาวน์ห้ามประชาชนออกจากบ้าน หรือปิดกิจการห้างร้านเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสขยายวงกว้าง หลังดำเนินนโยบายล็อกดาวน์มาร่วม 1 เดือนเต็ม ขณะนี้บางประเทศในทวีปยุโรปได้ตัดสินใจหรืออยู่ระหว่างพิจารณาการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์แล้ว เช่น อิตาลี สเปน ออสเตรีย โปแลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ เยอรมนี เนื่องจากจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อใหม่เริ่มลดลง
ประเทศ สเปน เริ่มอนุญาตให้ไซต์ก่อสร้างและโรงงานกลับมาดำเนินการได้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (13 เม.ย. 63) ส่วนประเทศ อิตาลี เริ่มเปิดให้กิจการบางประเภทกลับมาเปิดทำการได้ตั้งแต่วันนี้ (14 เม.ย. 63) กิจการดังกล่าว เช่น ร้านหนังสือ ร้านของเล่น รวมถึงใน ออสเตรีย มีนโยบายให้ธุรกิจขนาดเล็ก ร้านวัสดุก่อสร้างและของแต่งบ้าน ร้านอุปกรณ์จัดสวน กลับมาเปิดทำการได้แล้ว
เดนมาร์ก และ นอร์เวย์ นั้นเตรียมเปิดโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมในวันพรุ่งนี้ (15 เม.ย. 63) ส่วนประเทศ โปแลนด์ จะเริ่มอนุญาตให้ธุรกิจกลับมาเปิดกิจการได้วันที่ 19 เม.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม โปแลนด์จะยังปิดโรงเรียนไปถึงวันที่ 26 เม.ย. 63 และปิดชายแดนประเทศถึงวันที่ 3 พ.ค. 63 ขณะที่ เยอรมนี หนึ่งในประเทศที่รับมือกับไวรัส COVID-19 ได้ดี กำลังพิจารณาแผนการฟื้นตัวจากการระบาดอยู่ในขณะนี้
“ตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. เราจะเริ่มละลายเศรษฐกิจประเทศที่ถูกแช่แข็งอย่างช้าๆ” ลูคัส ชูโมวสกี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของโปแลนด์กล่าวผ่านทางวิทยุ RMF FM
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 63 องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกโรงเตือนให้ระมัดระวังการระบาดซ้ำ หากจะมีการลดหรือยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่ใช้ควบคุมการระบาด แม้ว่าสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมา หลายๆ ประเทศเริ่มเห็นเทรนด์การระบาดที่ลดลงแล้ว เช่น อิตาลี เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน
อังกฤษยังคุมเข้มหลังจำนวนผู้เสียชีวิตพุ่ง
ตรงข้ามกับประเทศดังกล่าวข้างต้น สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปที่ยังไม่มีทีท่าจะยกเลิกหรือผ่อนปรนการล็อกดาวน์ เนื่องจากจำนวนผู้เสียชีวิตที่พุ่งทะยาน โดยอยู่ที่ 11,329 รายเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 63 เพิ่มขึ้น 717 รายภายในวันเดียว และมีผู้ติดเชื้อเกือบ 90,000 คน ทั้งนี้ สถานการณ์ของอังกฤษค่อนข้างน่าวิตก เพราะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในกลุ่มบ้านพักผู้สูงอายุ ซึ่งอาจจะนำไปสู่จำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงกว่านี้ได้
บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษเองก็ติดเชื้อไวรัส COVID-19 จนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล แม้ว่าเขาจะอาการดีขึ้นจนออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่เขายังต้องพักฟื้นต่อในบ้าน ทำให้ โดมินิค ราอับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ต้องเป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรีต่อไป
ราอับกล่าวว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะลดนโยบายล็อกดาวน์ “เรายังไม่ผ่านจุดพีคที่สุดของการระบาดของไวรัสเลย เพราะฉะนั้นได้โปรดทำตามคำแนะนำให้อยู่กับบ้าน เพื่อรักษาชีวิตและช่วยปกป้องทีมงานสาธารณสุข NHS ของเรา”
ที่ผ่านมา อังกฤษมีคำสั่งให้ธุรกิจที่ไม่จำเป็นปิดทำการไปก่อน และขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่ในบ้าน ยกเว้นมีความเป็นจำเป็นต้องออกไปซื้ออาหาร ยา หรือออกกำลังกาย (ไม่เกิน 1 ครั้งต่อวัน) โดยราอับยังไม่เปิดเผยตารางเวลาที่ชัดเจนว่าจะยกเลิกนโยบายเหล่านี้เมื่อไหร่ แต่คาดการณ์กันว่าอังกฤษจะยังไม่ลดความเข้มงวดไปอย่างน้อยจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม