การเปิดตัวไอโฟน iPhone SE ปี 2020 ทำให้สินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟนของแอปเปิล (Apple) มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 14,900-52,900 บาท จะเห็นว่าช่วงราคาห่างกันมหาศาลมาก ดังนั้น หากอยากเป็นเจ้าของ iPhone สักเครื่อง รุ่นไหนจะเหมาะกับเราที่สุดกันนะ ดังนั้นไปส่องกันดีกว่าว่า iPhone แต่ละรุ่นมีจุดเด่นต่างกันอย่างไรกันบ้าง
iPhone SE ที่ถูกและดีกว่าเคย
iPhone SE เป็นรุ่นที่มีราคาถูกที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยเปิดตัวครั้งเเรกเมื่อปี 2559 โดยความจุ 16GB ราคาเปิดที่ 16,800 บาท ส่วนความจุ 64GB เปิดที่ 20,800 บาท แต่ iPhone SE 2020 ใหม่นี้มีหน่วยความจำเริ่มต้นที่ 64GB ในราคา 14,900 บาท ส่วนความจำ 128GB ราคา 16,900 บาท และ 256 GB 20,900 บาทเท่านั้น แถมยังใช้ โปรเซสเซอร์ A13 ซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับรุ่นอื่นในกลุ่ม iPhone 11 ที่ใช้โปรเซสเซอร์เดียวกันอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม iPhone SE มีหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ดังนั้นอาจจะขัดใจผู้ใช้สมัยนี้ ที่อาจจะชินกับสมาร์ทโฟนจอใหญ่ไปซะเเล้ว ส่วนกล้องหลังมีขนาด 12 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพบุคคลในโหมดแฟนซีได้เหมือน iPhone รุ่นแพงกว่า และบันทึกวิดีโอได้ 4K กล้องหน้า 7 ล้านพิกเซล แต่สิ่งที่ขาดไป คือ การถ่ายภาพในโหมดกลางคืน ส่วนสีมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ แดง, ดำ และขาว
เพิ่มงบอีกนิดได้ XR
ตัวเลือกที่มีราคาไม่ไกลกับ SE นัก จะเป็น iPhone XR ที่เปิดตัวในปี 2018 พร้อมกับ iPhone XS ซึ่งหลังจากเปิดตัวรุ่นใหม่ Apple ยังเก็บ iPhone XS ไว้โดยลดราคาลงเหลือ 21,900 บาท ส่วน XR ตัวความจุ 128GB ราคาสูอยู่ที่ 23,900 บาท มีจอแสดงผลขนาด 6.1 นิ้วนั้นมีรอยบากที่ด้านบน ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกล้อง True Depth ให้ระบบ Face Unlock ได้ทำงาน รุ่นนี้ป้องกันฝุ่นและน้ำมาตรฐาน IP67 ซึ่งหมายความว่าจะอยู่รอดได้ในน้ำลึก 30 นาที ที่ความลึกสูงสุด 1 เมตร โดย XR มี 6 สีให้เลือก คือขาว ดำ น้ำเงิน เหลือง ส้มปะการัง และสีแดง
ส่วนด้านหลังของ XR เป็นกล้องขนาด 12 ล้านพิกเซลตัวเดียว บันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K เหมือน iPhone SE อย่างไรก็ตาม iPhone XR ใช้ชิป A12 Bionic ซึ่งด้อยกว่า A13 ของ SE ดังนั้น หากใครชอบสีสันที่สดใส จอแสดงผลที่ใหญ่กว่า และเมื่อมองที่ราคา iPhone XR ตัวความจุ 128GB แพงกว่า iPhone SE ประมาณ 3,000 บาท เท่านั้น
ชอบแบตอึดต้อง iPhone 11
แต่ถ้าใครต้องการเลือกรุ่นที่อายุการใช้งานแบตเตอรี่ดีที่สุด ต้องมองที่ iPhone 11 ราคาเริ่มต้น 24,900 บาท การันตีว่า iPhone 11 ใช้หน่วยประมวลผลเดียวกับ iPhone 11 Pro ทำให้เร็วและมีความสามารถใกล้กัน และมาพร้อมหน้าจอ LCD ขนาด 6.1 นิ้ว แม้จะไม่คมชัดเหมือนหน้าจอ iPhone 11 Pro แต่ก็ไม่ได้แย่ แถมมี 6 สี ได้แก่ สีขาว สีดำ สีเขียว สีเหลือง สีม่วง และสีแดง มีให้เลือกเยอะไม่แพ้ iPhone XR เลย
ความพิเศษอยู่ที่ iPhone 11 มีกล้องหลัง 2 ตัว กล้องมุมกว้างพิเศษช่วยให้สามารถซูมภาพหรือวิดีโอได้ดีกว่ารุ่นกล้องหลังตัวเดียว ระดับมาตรฐานกันน้ำ IP68 จัดให้ไอโฟนแช่น้ำได้ลึก 2 เมตรนาน 1 ชั่วโมง กลายเป็นว่า iPhone 11 คือรุ่นส่วนใหญ่ที่คนใช้งานเพราะไม่แพงเกินไปและไม่จำเป็นต้องทิ้งฟีเจอร์หลายจุดเพื่อประหยัดเงิน
iPhone 11 Pro กล้องและจอไร้เทียมทาน
ความเด่นของ iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max คือทั้ง 2 รุ่นนี้มีอาร์เรย์กล้อง 3 ชั้นที่กล้องหลัง ขณะที่จอแสดงผล OLED คมชัดตระการตา โดยกล้อง 2 ตัวของ iPhone 11 Pro เหมือนกับรุ่น iPhone 11 คือเลนส์กว้างและกว้างพิเศษ แต่ 11 Pro จะมีเลนส์เทเลโฟโต้ ทำให้การซูมทำได้ดีแม้กล้องทั้งหมดจะมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเหมือนกันหมด
ในส่วนของขนาดหน้าจอ 11 Pro มีหน้าจอ 5.8 นิ้ว ในขณะที่หน้าจอ 11 Pro Max มีขนาด 6.5 นิ้ว คุณสมบัติจอของทั้ง 2 รุ่นเป็นแบบ Super Retina XDR OLED ให้ภาพที่ดูคมชัดขึ้นด้วยสีที่สว่างกว่าและสีดำที่เข้มกว่า
การกันน้ำและฝุ่นของ iPhone 11 Pro ได้มาตรฐาน IP68 เท่ากับ iPhone 11 แต่ iPhone 11 Pro ตั้งราคา 35,900 บาทแลกกับหน้าจอ 5.8 นิ้ว โดยขยับราคาเป็น 39,900 บาทให้ iPhone 11 Pro Max ที่มีหน้าจอ 6.5 นิ้ว
ความแตกต่างระหว่าง iPhone 11 และ 11 Pro เรื่องกล้องและจอแสดงผล ทำให้กลุ่มคนรักการถ่ายภาพและคนชอบเทคโนโลยีใหม่เลือก iPhone 11 Pro แบบไม่ต้องคิดมาก ทั้งหมดนี้ย้ำชัดว่า ไอโฟนแต่ละรุ่นมีจุดเด่นและด้อยที่ต่างกันไป ดังนั้นจงตัดสินใจแล้วเลือกรุ่นที่ใช่สำหรับตัวเอง