Grab ยูนิคอร์นยักษ์ใหญ่ที่ให้บริการ ride-hailing ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าวิกฤติ COVID-19 จะเห็นว่าการใช้งานบริการส่งอาหารหรือ Grab Food พุ่งสูงขึ้น จนเกิดดราม่าต่าง ๆ นานา แต่ในส่วนธุรกิจรับส่งคนจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะคนอยู่แต่บ้านไม่สามารถออกไปไหนได้ แต่ แอนโทนี่ ตัน ซีอีโอของบริษัท ก็ออกมาย้ำว่าสภาพคล่องบริษัทเพียงพอที่จะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยนี้ไปอีก 3 ปี!
แอนโทนี่ ตัน ซีอีโอของ Grab กล่าวว่า Grab ดำเนินงานใน 339 เมืองใน 8 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศเหล่านั้นทั้งหมดได้ดำเนินมาตรการทางสังคมที่เข้มงวด ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากเริ่มพักอยู่ที่บ้านในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ความต้องการการขนส่ง
แม้ว่าแกร็บเองจะมีรูปแบบธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งการจัดส่งอาหาร ของชำต่าง ๆ ช่วยให้สามารถรับมือกับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ แต่ต้องยอมรับว่าไม่สามารถจะ COVER ผลกระทบทั้งหมด ส่งผลให้ในบางประเทศยอดการใช้งาน (Gross Merchandize Volume GMV ด้านการขนส่งของแกร็บลดลงเป็นเปอร์เซ็นต์สองหลัก
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของ Grab มีตัวแปรมาจากการให้บริการ เมื่อความต้องการลดลง ต้นทุนก็ลดลงด้วยเช่นกัน
“เราโชคดีที่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะทำให้เราผ่าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะถดถอย 12 เดือนหรือถดถอย 36 เดือน อีกทั้งเรายังปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ โดยปรับกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่การขนส่งบางส่วนเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการสั่งอาหารหรือของใช้ต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไดรเวอร์บนแพลตฟอร์มยังคงมีโอกาสสร้างรายได้”
ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนเพิ่มเติมเกือบ 40 ล้านเหรียญ ในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินทั่วทั้งภูมิภาคและแนะนำมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมในสถานที่ต่าง ๆ เช่น สิงคโปร์ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่
“เมื่อมองไปข้างหน้า การขนส่งยังเป็นบริการที่จำเป็นสำหรับมวลชน ดังนั้นเราจึงคาดว่ามันจะฟื้นตัวอย่างมากเมื่อผู้คนเริ่มเดินทางอีกครั้งหลังการปิดตัวลง”
ทั้งนี้ ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 2 ล้านคนและกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่