TTA ธุรกิจของตระกูล “มหากิจศิริ” ขาดทุน 459 ล้านในไตรมาสแรก กระทบหนักจาก COVID-19

บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2563 จำนวน 3,295.8 ล้านบาท ซึ่งลดลง 21% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยขาดทุนสุทธิจำนวน 459.2 ล้านบาท ผลมาจากธุรกิจที่อ่อนตัวตามฤดูกาล รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19

กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือมีรายได้คิดเป็น 38% กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง 21% กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร 22% และกลุ่มการลงทุนอื่น 19%

TTA ยังมีผลขาดทุนจากการลงทุน จำนวน 195 ล้านบาท และมีผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของอนุพันธ์ในไตรมาส 1/2563 จำนวน 140.8 ล้านบาท ซึ่งถูกบันทึกตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) ปัจจัยหลักมาจากอนุพันธ์ประเภทสัญญาแลกเปลี่ยนราคาน้ำมัน (Bunker Swap) เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ณ สิ้นไตรมาส

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 TTA มีสินทรัพย์รวม จำนวน 35,020.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% หรือ 1,547.9 ล้านบาท จากสิ้นปี 2562 สาเหตุสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สิทธิการใช้ ซึ่งถูกบันทึกตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 และผลต่างจากการแปลงค่างบการเงินจากการดำเนินงานในต่างประเทศของสินทรัพย์ที่เป็นบวก

TTA มีเงินสดภายใต้การบริหารอยู่ในระดับสูงที่ 6,565 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net IBD/E) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.09 เท่า

เฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTA กล่าวว่า

“กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือยังคงรักษาตำแหน่งที่ดีในอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่า (TCE) สูงกว่าอัตราตลาดสุทธิถึง 25% ด้านกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรยังคงสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง มีมูลค่าสัญญาให้บริการรอส่งมอบ (order book) ที่ยืนยันแล้ว ถึงปัจจุบันไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่วนพิซซ่า ฮัท ยังคงทำกำไรได้ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สาม”

แนวโน้มในอุตสาหกรรมขนส่งทางเรือนั้น มีความเป็นไปได้ที่สถานการณ์การค้าสินค้าเทกองจะกลับมา ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 และในปี 2564 โดยเบื้องต้นคาดว่าอาจจะฟื้นตัวกลับมาเติบโตขึ้นประมาณ 5% ในปีหน้า เทียบกับอัตราการเติบโตของกองเรือที่ 2% อย่างไรก็ตาม ภาพรวมอุตสาหกรรมในอนาคตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19

ด้านอุตสาหกรรมบริการนอกชายฝั่ง Rystad Energy ประมาณการภาพรวมอุตสาหกรรมการขุดเจาะและสำรวจ (drilling and exploration) ว่าจะลดลงร้อยละ 15 ในปี 2563 และคาดว่าการปรับลดงบประมาณในการสำรวจภาคสนาม (field development) จะส่งผลกระทบแก่ผู้ให้บริการภาคสนาม (field service provider) ต่อไป

กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ

ดัชนีบอลติค (BDI) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 592 จุด ในไตรมาสที่ 1/2563 ซึ่งเป็นผลกระทบตามฤดูกาลของธุรกิจและการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยรายได้ค่าระวางเรือของกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรืออยู่ที่ 1,261.5 ล้านบาท ลดลง 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากอัตราค่าระวางเรือที่ลดลงและจำนวนวันให้บริการของเรือที่เช่ามาเสริมกองเรือ (chartered-in-vessel) ลดลง

อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือยังคงรักษาค่าใช้จ่ายในการเดินเรือ (OPEX) อยู่ในระดับต่ำที่ 3,856 เหรียญสหรัฐต่อวัน อัตราการใช้ประโยชน์เรือที่กลุ่มธุรกิจฯ เป็นเจ้าของยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 100% อีกทั้งมีอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่า (TCE) อยู่ที่ 7,817 เหรียญสหรัฐต่อวัน ซึ่งสูงกว่าอัตราค่าระวางเรือซุปราแมกซ์สุทธิ (net Supramax TC rate) ที่ 6,229 เหรียญสหรัฐต่อวัน อยู่ 25% ในไตรมาสที่ 1/2563 ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือมีกำไรขั้นต้น จำนวน 197.7 ล้านบาท และ EBITDA จำนวน 11.5 ล้านบาท

ดังนั้น กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือรายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA ก่อนกำไร (ขาดทุน) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของอนุพันธ์ จำนวน 16.9 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2563

ณ สิ้นไตรมาส กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือเป็นเจ้าของเรือซุปราแมกซ์ จำนวน 21 ลำ มีระวางบรรทุกเฉลี่ยเท่ากับ 55,285 เดทเวทตัน (DWT) และมีอายุเฉลี่ย 12.96 ปี และไม่มีการซื้อหรือขายเรือในไตรมาสที่ 1/2563

กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 51 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และถูกซื้อขายอย่างผันผวนในกรอบ 22-69 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาสที่ 1/2563 มาตรการล็อกดาวน์ของหลายๆ ประเทศ เพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลง สำหรับไตรมาสที่ 1/2563 รายได้ของกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งอยู่ที่ 693.8 ล้านบาท ซึ่งลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากอัตราค่าจ้างเฉลี่ยต่อวันลดลง

อัตราค่าจ้างเฉลี่ยต่อวันลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการที่เรือลำหนึ่งได้รับค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อรอเริ่มงาน (standby rate) ของโครงการหนึ่งซึ่งถูกเลื่อนออกไปตามกำหนดการใหม่ของลูกค้ารายหนึ่ง และการที่เรือที่เช่ามาเพื่อทำงานแทนเรือที่ถูกนำไปเข้าอู่แห้งในอีกโครงการหนึ่งได้รับค่าจ้างต่อวันต่ำกว่าสัญญาปกติ ซึ่งเป็นไปตามสัญญาจ้างกรณีการเช่าเรือมาทำงานแทน

ขณะที่อัตราการใช้ประโยชน์เรือ (performing vessel utilization rate) เพิ่มขึ้นจาก 60% ในไตรมาสที่ 1/2562 เป็น 85% ในไตรมาสที่ 1/2563 ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนวันทำงานของเรือที่เพิ่มขึ้น ส่วนขาดทุนขั้นต้นอยู่ที่ 112.6 ล้านบาท ส่งผลให้ EBITDA เป็นลบอยู่ที่ 202.7 ล้านบาท

กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งรายงานผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 184.1 โดยมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบ ณ สิ้นไตรมาส ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 193 ล้านเหรียญสหรัฐ

กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร

รายได้จากการขายของกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรในไตรมาสที่ 1/2563 อยู่ที่ 696.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากปริมาณขายปุ๋ยที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในระหว่างที่ธุรกิจอ่อนตัวตามฤดูกาลในไตรมาสที่ 1/2563 ได้เกิดภาวะความแห้งแล้งและค่าความเค็มของน้ำเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ของจังหวัดบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในประเทศเวียดนาม ความต้องการภายในประเทศจึงลดลง แต่ถูกเกินดุลด้วยปริมาณการส่งออกปุ๋ยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการมุ่งเน้นการส่งเสริมการตลาด และเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง

จึงส่งผลให้ปริมาณขายปุ๋ยทั้งหมดปรับตัวเพิ่มขึ้น 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 54.8 พันตัน ขณะเดียวกัน กำไรขั้นต้น (spread) อยู่ที่ 140.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากศูนย์เป็น 34.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยสรุป ในไตรมาสที่ 1/2563 กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรรายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 15.1 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 191% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

กลุ่มการลงทุนอื่น

  • ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม:

1) พิซซ่า ฮัท ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ 70% ซึ่งสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 พิซซ่า ฮัท มีสาขาทั้งหมด 150 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งสาขาทั้งหมดที่เปิดใหม่เป็นสาขาที่เปิดตามหัวเมืองใหญ่

2) ทาโก้ เบลล์ (Taco Bell) เป็นแฟรนไชส์อาหารกึ่งเม็กซิกันสไตล์ที่มีชื่อเสียงชั้นนำระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ 70% ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 ทาโก้ เบลล์ มีสาขาทั้งหมด 6 สาขา ทั่วประเทศ ซึ่งสาขาทั้งหมดที่เปิดใหม่เป็นสาขาที่เปิดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

  • ธุรกิจบริหารทรัพยากรน้ำ:

บริษัท เอเชีย อินฟราสตรักเชอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (“AIM”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ 80.5% เป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง และให้บริการครบวงจรทางด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ AIM ยังได้รับสัมปทานในการจำหน่ายน้ำประปาในหลวงพระบาง ประเทศลาว ผ่านบริษัทย่อยที่ AIM ถือหุ้นอยู่ 66.7%