นักวิเคราะห์ชี้ แม้เป็นประเทศที่ ‘รวยสุดในโลก’ ก็ล็อกดาวน์อีกรอบไม่ได้ หากเจอ Covid-19 รอบ 2

(Photo by Sean Gallup/Getty Images)

นักวิเคราะห์ประเมินว่า มีความเป็นไปได้ยากมากที่ประเทศต่าง ๆ มีจะกำหนดมาตรการล็อกดาวน์อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง หากเกิดการระบาดระลอกที่สอง เนื่องจากต้องใช้งบถึง 3% ของ GDP ต่อเดือน

บรรยากาศการแจกหน้ากากอนามัยที่ป้ายรถเมล์ในเมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 63 หลังจากรัฐบาลสเปนประกาศผ่อนคลายการล็อกดาวน์ ให้กิจการบางประเภทกลับมาทำการได้ เช่น ไซต์ก่อสร้าง โรงงานผลิต (photo: Rober Solsona/Europa Press via Getty Images)

สถานการณ์การระบาดของไวรัส Covid-19 ในหลายประเทศยังไม่ผ่านพ้นช่วงวิกฤต ขณะที่บางประเทศก็กำลังเผชิญหน้ากับการระบาดระลอกใหม่ อย่างตัวเลขผู้ติดเชื้อในสหรัฐอเมริกายังพุ่งสูงถึง 45,557 รายเมื่อวันพุธที่ผ่านมาเพียงวันเดียว ขณะที่แคลิฟอร์เนียมีผู้ป่วยมากกว่า 7,000 รายตั้งแต่วันอังคาร เพิ่มขึ้น 69% ภายในสองวัน ส่วนฟลอริดายังคงพบรายงานจำนวนผู้ป่วยรายใหม่อย่างต่อเนื่อง

ตัดภาพมาที่ภูมิภาคเอเชีย ประเทศเกาหลีใต้กำลังต่อสู้กับ “การระบาดรอบสอง” รอบ ๆ กรุงโซลที่เป็นเมืองหลวง ขณะที่ปักกิ่งก็ต้องปิดตลาดสดและบางพื้นที่ หลังจากตรวจพบเชื้อ Covid-19 แม้ว่าตอนนี้จะออกมาประกาศว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวได้แล้ว

Hartmut Issel หัวหน้าหน่วยงาน APAC ของ UBS Global Wealth Management กล่าวกับ CNBC เมื่อวันอังคารว่า ประเทศต่าง ๆ ไม่น่าจะสามารถล็อกดาวน์ประเทศได้อีกครั้ง หากต้องเผชิญกับการระบาดระลอกสอง เพราะการล็อกดาวน์ประเทศทั้งหมด เท่ากับประเทศคุณมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 3% ของ GDP ต่อเดือน ดังนั้นแม้แต่ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกก็ไม่สามารถจ่ายเงินขนาดนั้นได้อีกสองสามเดือน

“การระบาดของไวรัสรอบสองนี้เป็นข้อกังวลสำหรับนักลงทุน…แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ คราวนี้จะไม่มีการล็อกดาวน์ประเทศเหมือนช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ถ้าคุณดูการเทขายหุ้นในช่วงเดือนมีนาคม มันไม่ได้มีสาเหตุที่เพราะความกังวลเรื่องไวรัส แต่เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกปิดตัว”

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศลดการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจอีกครั้งในวันพุธ โดยเตือนว่าการเงินของรัฐบาลจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากพวกเขาพยายามที่จะจัดการกับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ ปัจจุบันได้ประเมินว่าจะมีการหดตัว 4.9% ของ GDP ทั่วโลกในปี 2020 ซึ่งมากกว่าที่เคยประเมินไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ 3%

Source