ฝรั่งเศสออกกฎบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากปิดปาก-จมูกภายในอาคารซึ่งเป็นที่สาธารณะ โดยกำหนดโทษปรับ 135 ยูโรหรือประมาณ 4,900 บาทเศษ สำหรับผู้ฝ่าฝืน
นายกรัฐมนตรี ฌ็อง กัสเต็กซ์ ประกาศเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ว่าจะเริ่มบังคับสวมหน้ากากในที่สาธารณะแบบปิดตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัส COVID-19 กลับมาระบาดหนักในฝรั่งเศสเป็นครั้งที่ 2 หลังปรากฏสัญญาณเตือน
ฝรั่งเศสมีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 210,000 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้วกว่า 30,000 คน ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ออกกฎบังคับให้ผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะต้องสวมหน้ากากอยู่แล้ว
รัฐมนตรีสาธารณสุขฝรั่งเศสระบุเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ว่า ระเบียบใหม่จะเริ่มมีผลบังคับในวันที่ 20 ก.ค. โดยครอบคลุมร้านค้า, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ตลาดค้าของสดแบบปิด, ธนาคาร รวมถึงสถานที่อื่นๆ ซึ่งมีประชาชนเข้าใช้บริการเป็นจำนวนมาก
สำนักงานบริการสาธารณสุขของฝรั่งเศสแถลงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่า ค่า R ซึ่งหมายถึงอัตราการแพร่ของไวรัสในฝรั่งเศสได้เพิ่มสูงกว่า 1 ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วย 1 คนจะสามารถแพร่เชื้อให้ให้แก่บุคคลอื่นได้เฉลี่ย 1.2 คน
จากสถิติของทางการที่เผยแพร่เมื่อวันพุธที่แล้ว ฝรั่งเศสมีผู้ป่วยใหม่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 119 คนในรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าลดลงมากเมื่อเทียบกับสถิติผู้ป่วยใหม่สูงสุด 4,281 คนใน 1 วันเมื่อเดือน เม.ย.
รัฐบาลฝรั่งเศสก็เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ ที่ไม่แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากในช่วงที่ไวรัสเริ่มแพร่ระบาดใหม่ๆ ทั้งนี้เพื่อสงวนหน้ากากเอาไว้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และยังโต้เถียงอีกว่าหน้ากากไม่สามารถช่วยยับยั้งการระบาดได้จริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มผ่อนคลายล็อกดาวน์บางส่วนในวันที่ 11 พ.ค. การสวมหน้ากากได้กลายเป็นมาตรการบังคับทั้งในระบบขนส่งมวลชน, พิพิธภัณฑ์ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
ร้านอาหารในฝรั่งเศสมีกฎให้พนักงานสวมหน้ากาก ส่วนลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการก็ต้องสวมหน้ากากก่อนจะนั่งลงรับประทานอาหารด้วย
ปัจจุบันฝรั่งเศสได้เพิ่มกำลังผลิตหน้ากากอนามัยใช้เองในประเทศ หลังจากที่ช่วงแรกๆ ยังต้องพึ่งพาหน้ากากนำเข้า โดยเฉพาะจากจีน