Facebook ประกาศในวันที่ 17 กันยายน 2020 ว่า บริษัทมีการออกนโยบายใหม่ จำกัดการเผยแพร่ของฟังก์ชัน “กรุ๊ป” ที่ตั้งค่าเป็นส่วนตัว (private) และมีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้ข้อมูลสุขภาพ รวมถึงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ จะทำการเก็บถาวร (archive) กรุ๊ปที่ไม่มีแอดมิน เพราะถือว่าขาดบุคคลคอยบริหารจัดการกรุ๊ป
การจำกัดการเผยแพร่ของ Facebook คือแพลตฟอร์มจะไม่มีการแสดงกรุ๊ปดังกล่าวในพื้นที่แนะนำกรุ๊ปที่คุณอาจสนใจ โดยระบุในบล็อกโพสต์แถลงการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ว่า “เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ใช้ควรได้รับข้อมูลด้านสุขภาพจากแหล่งที่มาที่เป็นทางการ” ถือเป็นการขยับของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่เพื่อตอบโต้การนำฟังก์ชัน “กรุ๊ปลับ” แบบนี้ไปใช้ส่งต่อข้อมูลบิดเบือดเกี่ยวกับโรคระบาด COVID-19 และวัคซีนในช่วงที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับกรุ๊ปลับด้านสุขภาพ สำหรับกรุ๊ปที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง Facebook ก็จะไม่นำไปแนะนำในพื้นที่ทั่วไป และจะเพิ่มความเข้มงวดด้วยการปิดไม่ให้ค้นหา (search) กรุ๊ปเหล่านี้ได้ และลดความถี่ของคอนเทนต์จากกรุ๊ปที่จะเข้าไปแสดงบนหน้า News Feed ของผู้ใช้ที่เป็นสมาชิกอยู่แล้ว
การตอบโต้ต่อกรุ๊ปที่เกี่ยวโยงกับความรุนแรง เกิดขึ้นหลังจากกลุ่มติดอาวุธในเมืองเคโนชา รัฐวิสคอนซิน ใช้ Facebook เป็นตัวกลางในการสร้างเพจ และเปิดฟังก์ชัน “อีเวนต์” ชวนรวมตัวก่อความรุนแรงต่อม็อบประท้วงตำรวจซึ่งกำลังชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมให้เจค็อบ เบลก การปะทะครั้งนี้นำไปสู่ผู้เสียชีวิต 2 ราย
Facebook กล่าวแสดงความขอโทษในภายหลังที่แพลตฟอร์มไม่ได้ลบเพจและอีเวนต์นั้นออกไปก่อนเกิดเรื่อง แม้ว่าจะมีผู้ใช้กดรายงานเข้ามาแล้วก็ตาม โดยอ้างว่าเป็น “ความผิดพลาดในการปฏิบัติ”
การอัปเดตนโยบายครั้งนี้ Facebook ยังจะบังคับใช้การ “เก็บถาวร” (archive) กรุ๊ปที่ไม่มีแอดมินดูแล ดังนั้นก่อนที่แอดมินกรุ๊ปจะถอนตนเองออกจากตำแหน่ง ควรเชิญสมาชิกคนอื่นให้เป็นแอดมินดูแลกรุ๊ปแทน เพื่อให้มีคนสอดส่องข้อมูลในกรุ๊ปตลอดเวลา มิฉะนั้นแพลตฟอร์มจะเก็บถาวรกรุ๊ปนั้นไป คาดว่าน่าจะทำให้กรุ๊ปยังสามารถอ่านข้อมูลเก่าย้อนหลังได้ แต่เคลื่อนไหวข้อมูลใหม่ๆ ไม่ได้
ความพยายามและคำมั่นสัญญาของ Facebook ในการจัดการกับข้อมูลที่บิดเบือนและความรุนแรงบนแพลตฟอร์ม เกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 2 ปี แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังเกิดปัญหาอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุด โลกฝั่งตะวันตกมีการรณรงค์แฮชแท็ก #StopHateForProfit โดยมีทั้งเซเลบและแบรนด์ดังร่วมแคมเปญนี้เพื่อกดดันให้ Facebook ดำเนินการอย่างจริงจังต่อ Hate Speech หรือการใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชังต่อชนชาติ เชื้อชาติ สีผิว ฯลฯ
ฝั่งแบรนด์ใช้วิธีคว่ำบาตรถอนโฆษณาออกจาก Facebook โดยมีแบรนด์ที่เข้าร่วมมากกว่า 500 แห่ง เช่น Unilever, Pfizer, Lego, Dunkin Donuts, Starbucks, Coca-Cola ส่วนเซเลบคนดังใช้การ “แช่แข็ง” บัญชีของตัวเอง คือจะไม่มีการเคลื่อนไหวใน Instagram เป็นเวลา 24 ชั่วโมง จนถึงขณะนี้มีคนดังร่วมแคมเปญ เช่น คิม คาร์ดาเชียน เวสต์, เคที่ เพอร์รี่ และลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ