คนอังกฤษ 24,000 คนเสี่ยง ‘ตกงาน’ เนื่องจากแบรนด์แฟชั่นกำลัง ‘ล้มละลาย’

แบรนด์ ‘Edinburgh Woolen Mill’ หรือ ‘EWM Group’ ซึ่งถือเป็นแบรนด์มรดกทางวัฒนธรรมของสก็อตที่ผลิตเสื้อโค้ท ‘Harris Tweed’ หรือ ‘ชุดพื้นเมือง’ และเสื้อสเวตเตอร์แคชเมียร์ได้เตือนถึงการลดตำแหน่งงานครั้งใหญ่ เนื่องจากต้องหาทางประคองธุรกิจไม่ให้ล้มละลาย

บริษัทในอังกฤษที่ประสบปัญหาการล้มละลายสามารถแต่งตั้ง ‘เจ้าหน้าที่ปกครอง’ เพื่อให้ความคุ้มครองเจ้าหนี้ได้ แต่หมายถึงการส่งมอบการควบคุมให้กับเจ้าหน้าที่ปกครอง และกระบวนการดังกล่าวสามารถนำไปสู่การปิดกิจการได้ ส่งผลให้ Philip Day เจ้าของแบรนด์ EWM Group กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ปกครองเพื่อปรับโครงสร้างบริษัทซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า Peacocks และ Jaeger รวมถึงกำลังพิจารณาลดพนักงานจำนวน 24,000 คน

“เราได้ยื่นคำร้องต่อศาลในวันนี้สำหรับพื้นที่หายใจสั้น ๆ เพื่อประเมินทางเลือกของเราก่อนที่จะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ปกครองเพื่อปรับโครงสร้างบริษัท ซึ่งจะต้องมีการลดและปิดตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในขณะที่เรากำลังเปลี่ยนผ่าน”

EWM เป็นผู้ค้าปลีกรายล่าสุดในสหราชอาณาจักรที่เริ่มดำเนินการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ เนื่องจากการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ยอดขายเสื้อผ้าลดลง และเร่งการเปลี่ยนไปสู่อีคอมเมิร์ซ ซึ่งนั่นได้ส่งผลกระทบกับหน้าร้านไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้แบรนด์ Marks & Spencer , TM Lewin, Harrods, เจ้าของร้านขายยา Arcadia และ Walgreens ในเครือร้านขายยา Boots ได้ประกาศปลดพนักงานมากถึง 12,800 ราย แม้แต่ Selfridges ยังถูกบังคับให้ต้องเลิกจ้าง โดยประกาศลดตำแหน่งงาน 450 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม ซึ่งย้ำถึงความไม่แน่นอนที่คนงานค้าปลีกในสหราชอาณาจักรต้องเผชิญ

Edinburgh Woolen Mill อยู่ในสถานะที่ยากลำบากเป็นพิเศษเนื่องจากร้านค้าหลายแห่งอยู่ทางตอนเหนือของสหราชอาณาจักรซึ่งมี ‘ข้อจำกัด’ ที่เข้มงวดมากกว่าที่อื่น อีกทั้งลูกค้าของบริษัทมีแนวโน้มที่จะมีอายุมากขึ้นตามข้อมูลของ Patrick O’Brien หัวหน้าฝ่ายวิจัยการค้าปลีกของสหราชอาณาจักรที่ GlobalData

“ร้านค้าปลีกรายใดที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าสูงวัยให้เข้าสู่ร้าน แบรนด์นั้นก็จะต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด”

ทั้งนี้ ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรกำลังชะลอตัวก่อนที่จะมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น GDP ของสหราชอาณาจักรในเดือนสิงหาคมขยายตัวเพียง 2.1% ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้

Source