‘Disney’ เตรียม ‘ยกเครื่อง’ ธุรกิจบันเทิงเน้น ‘สตรีมมิ่ง’

หลังจากได้ลองชิมลางฉาย ‘มู่หลาน’ ไปช่วงต้นเดือนกันยายน ซึ่งทำรายได้ไป 261 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างและค่าประชาสัมพันธ์รวมกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรายได้ที่ไปไม่ถึงจุดคุ้มทุนนี้ส่วนหนึ่งมาจากการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้โรงภาพยนตร์ทั่วโลกยังไม่สามารถกลับมาเปิดบริการได้ตามปกติ ส่งผลให้ ‘ดิสนีย์’ (Disney) ตัดสินใจเลื่อนฉายหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ อย่าง ‘Black Widow’ ยาวไปกลางปีหน้า

แต่เป็นที่รู้กันว่าดิสนีย์นั้นได้ตัดสินใจปล่อยมู่หลานลง ‘ดิสนีย์ พลัส’ (Disney+) แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งของตัวเองที่มีผู้ใช้กว่า 60.5 ล้านบัญชี โดยให้เช่าซื้อในราคา 29.99 เหรียญสหรัฐ หรือราว 900 บาท ซึ่งผลออกมาว่า 29% ของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาได้ซื้อภาพยนตร์มู่หลานหรือประมาณ 9 ล้านบัญชี นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้มียอดสมัครบริการ Disney+ เพิ่มขึ้นถึง 68%

Disney ยื้อไม่ไหว! ยอดตัดใจปล่อย ‘มู่หลาน’ ลงสตรีมมิ่ง หลังรายได้ลด 42%

ตรวจรายได้ “Mulan” แพ้ศึกในโรงหนัง แต่ชนะสงครามบนสตรีมมิ่ง Disney+

และเมื่อรวมผู้ใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั้งหมดชองดิสนีย์ อาทิ Disney+, ESPN +, Hulu และ Hotstar ในอินเดีย ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านรายทั่วโลก เมื่อธุรกิจออนไลน์กลายเป็นดาวเด่นขนาดนี้ ส่งผลให้ดิสนีย์ประกาศการปรับโครงสร้างธุรกิจสื่อและความบันเทิงครั้งใหญ่โดยจะมุ่งเน้นไปที่บริการสตรีมมิ่ง

“นี่เป็นข้อพิสูจน์เพิ่มเติมว่าโมเดลที่ส่งตรงถึงผู้บริโภคไม่เพียงแต่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคยมีต่ออนาคตของดิสนีย์ และการเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลให้เนื้อหามีคุณภาพมากขึ้น แต่ยังช่วยให้บริษัท สามารถปรับปรุงความซับซ้อนขององค์กรและอาจจะลดค่าใช้จ่ายลงด้วย Trip Miller นักลงทุนจากดิสนีย์และหุ้นส่วนผู้จัดการของกองทุนป้องกันความเสี่ยง Gullane Capital Partners

ภายใต้การปรับโครงสร้างใหม่ ดิสนีย์จะสร้างกลุ่มการกระจายสื่อและความบันเทิงใหม่ ซึ่งจะรับผิดชอบการสร้างรายได้จากเนื้อหาผ่านการจัดจำหน่ายและการขายโฆษณา ซึ่งกลุ่มนี้จะนำโดย Kareem Daniel ซึ่งเคยเป็นประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์เกมและสิ่งพิมพ์ของดิสนีย์

“การปรับตัวครั้งนี้จะช่วยให้ดิสนีย์สามารถสร้างรายได้จากคอนเทนต์ที่มีความต้องการเพิ่มเติมและอาจชดเชยรายได้และกำไรที่หายไปในส่วนอื่น ๆ ของปีนี้”

อย่างไรก็ตาม แม้การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้จะเป็นการประกาศครั้งใหญ่ แต่ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า Disney+ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ส่วนของการสร้างภาพยนตร์, การฉาย และดิสนีย์แลนด์ ต่างก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งได้ทำลายผลกำไรและนำไปสู่การปลดพนักงานจำนวนมาก

(Photo by Carl Court/Getty Images)

ด้าน Dan Loeb Activist Investor มองว่า ดิสนีย์ ควรระงับการจ่ายเงินปันผลประจำปีมูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐอย่างถาวร และนำเงินนั้นกลับไปลงทุนใน Disney+ แทน “เรามั่นใจว่าดิสนีย์สามารถสร้างธุรกิจส่งตรงถึงผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้รายได้จากเคเบิลทีวีและบ็อกซ์ออฟฟิศในปัจจุบันมีความหมายมากกว่าเดิม แต่ก็ต่อเมื่อบริษัทสามารถคว้าโอกาสนี้และลงทุนในเชิงรุกมากขึ้นเท่านั้น”

ทั้งนี้ ดิสนีย์ได้ตั้งเป้าว่า Disney+ จะมีสมาชิกทั่วโลก 90 ล้านคนภายในปี 2567

Source