นายกฯ ญี่ปุ่นเดินทางเยือนเวียดนามเป็นแห่งแรกหลังรับตำแหน่ง สะท้อนความสำคัญของเวียดนามตาม “ยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก” และเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ของธุรกิจญี่ปุ่น
โยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเลือก เวียดนาม และอินโดนีเซีย เป็นเป้าหมายแรกในการเดินทางเยือนต่างประเทศหลังรับตำแหน่งผู้นำญี่ปุ่น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้นำญี่ปุ่นเลือกเยือนเวียดนามเป็นประเทศแรก ในเดือนธันวาคม 2555 นายชินโซ อาเบะ ที่เพิ่งรับตำแหน่งนายกฯ ญี่ปุ่น ก็เลือกเยือนเวียดนาม ไทย และอินโดนีเซียเป็นเป้าหมายแรกเช่นกัน แต่ครั้งนี้นายกฯ ซูงะไม่ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย
ซูงะได้กล่าวในเวทีสัมมนาแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียวก่อนออกเดินทางว่า เวียดนาม และอินโดนีเซียเป็น 2 ประเทศที่ขาดไม่ได้ในการดำเนิน “ยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก” ซึ่งนายอาเบะ และสหรัฐฯ ได้ร่วมกันผลักดันเพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของจีนในภูมิภาค
ในด้านความมั่นคง ญี่ปุ่นสนับสนุนเวียดนามที่มีข้อพิพาทพื้นที่ในทะเลจีนใต้กับจีน โดยมอบเรือลาดตระเวนขนาด 40 เมตร จำนวน 10 ลำให้เวียดนาม และยังประกาศว่าพร้อมจะมอบเรือลาดตระเวนให้กับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆ รวม 8 ชาติ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมีข้อพิพาทกับจีน
นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้มอบเงินช่วยเหลือให้เวียดนาม 500 ล้านเยน รวมทั้งเรือเก่าอีก 6 ลำที่ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจการณ์ในทะเล ซึ่งแน่นอนว่าเวียดนามจะนำไปใช้เพื่อรับมือจีน
ในการประชุมสุดยอดระหว่างญี่ปุ่นกับอาเซียน ที่กรุงโตเกียว เมื่อปี 2556 นายกฯ อาเบะประกาศว่าจะกระชับเสริมความสัมพันธ์กับอาเซียนทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ในครั้งนั้น ญี่ปุ่นยังได้มอบความช่วยเหลือเป็นเงินกู้ให้เวียดนาม นำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 96,000 ล้านเยน รวมทั้งมอบเรือลาดตระเวนเพิ่มเติม และจะช่วยเวียดนามยกระดับความสามารถในการป้องกันทางทะเลด้วย
เวียดนาม ฐานการผลิตใหม่ของญี่ปุ่น
ในด้านเศรษฐกิจ หลังจีน-สหรัฐฯ เผชิญหน้ากันในสงครามการค้า และการระบาดของไวรัส COVID-19 รัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายที่จะโยกย้ายสายการผลิตที่อยู่ในจีนกลับญี่ปุ่น หรือไปยังประเทศอื่น โดยตั้งงบประมาณมากถึง 2,200 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจญี่ปุ่นย้ายฐานออกจากจีน โดยในจำนวนนี้ 2,000 ล้านดอลลาร์ใช้เพื่อสนับสนุนให้ย้ายสายการผลิตกลับญี่ปุ่น และ 200 ล้านดอลลาร์ใช้สนับสนุนให้ย้ายสายการผลิตไปยังประเทศอาเซียน
องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร เผยผลการสำรวจเมื่อปี 2562 ว่า ธุรกิจญี่ปุ่นเลือกจะลงทุนในเวียดนาม เพิ่มขึ้นมากที่สุดเกินกว่า 40% ขณะที่ความสนใจในการลงทุนในจีนลดลงเหลือแค่ 48.1% ลดลงจากเดิมที่จีนคือฐานการผลิตที่ธุรกิจญี่ปุ่นเลือกมากที่สุดถึง 55.4%
นักศึกษาชาวเวียดนามยังเดินทางมาเรียนต่อญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขณะนี้มีมากเป็นอันดับ 2 รองจากนักศึกษาจีน ทุกหนแห่งในญี่ปุ่นขณะนี้เต็มไปด้วยชาวเวียดนามที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นแหล่งแรงงานของญี่ปุ่นตามโครงการฝึกงานทางเทคนิค ชาวเวียดนามมาทำงานที่ญี่ปุ่นตามโครงการนี้มากเป็นอันดับที่ 1 และญี่ปุ่นยังต้องการแรงงานชาวเวียดนามเพิ่มเติมอีกมาก จำนวนประชากรเวียดนามที่มีมากกว่า 96 ล้านคนเป็นแหล่งแรงงาน และตลาดสินค้าที่สำคัญของญี่ปุ่น
ขณะนี้อาเซียนเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่ 3 ของญี่ปุ่น รองจากจีนและสหรัฐฯ ในปีนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเจรจาเพื่อปรับปรุงข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจญี่ปุ่น-อาเซียน หรือ EPA ปี 2551 ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าพหุภาคีฉบับแรกของญี่ปุ่น การปรับปรุงข้อตกลงครั้งนี้มุ่งเพิ่มความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะกับเวียดนามและอินโดนีเซีย เพื่อให้ทดแทนจีน ในการเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นในภูมิภาค