ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไปในยุค New Normal เร่งให้เกิดการปรับตัวอย่างฉับพลัน กระทบธุรกิจจนต้องเรียกร้องให้ผู้ประกอบการ SMEs – Start-up ตั้งลำใหม่เพื่อพาธุรกิจให้รอดและสร้างการเติบโตฝ่าสถานการณ์นี้ให้ได้
งานวิจัยล่าสุด “การอยู่รอดเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ” จาก เอชพี อิงค์ ที่สำรวจมุมมองเจ้าของธุรกิจ SMEs กว่า 1,600 ราย ใน 8 ประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค รวมถึงประเทศไทย พบว่า ผู้ประกอบการ มากกว่า 50% มีความคาดหวังว่าธุรกิจของตนไม่เพียงต้องสามารถอยู่รอดได้แต่ต้องสามารถเติบโตไปต่อในโลกวิถีใหม่ New Normal โดยเชื่อมั่นว่า ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นจะมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูธุรกิจ
สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศไทย สาเหตุของการขาดความชัดเจนในแนวคิดการนำนวัตกรรมมาใช้ในธุรกิจ เพราะยังมีความกังวลด้านเงินทุนและกระแสเงินสด อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการ SMEs โดยรวม ทั้งในอินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม ออสเตรเลีย และไทย ยังคงมีความมั่นใจสูงถึงศักยภาพและความสามารถของธุรกิจตนที่จะรองรับทรานส์ฟอร์มเมชั่นของธุรกิจ ในขณะที่ SMEs ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ มีความระมัดระวังมากในการคาดการณ์ถึงอนาคตบนสภาพเศรษฐกิจของโลกที่เกิดขึ้นในขณะนี้
เทคโนโลยียุคสมัยใหม่ คือความคาดหวังของผู้ประกอบการ เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันท่วงทีและเข้าใจความต้องการผู้บริโภคที่ซับซ้อนขึ้น เอชพี อิงค์ ประเทศไทย ได้พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อธุรกิจ HP for Business ไอทีโซลูชั่นครบวงจร ด้วยนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีความปลอดภัยที่มั่นใจได้จากประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีระดับโลกมากว่า 90 ปี เอชพี ไม่หยุดสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อรองรับวิธีการทำงานยุคใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่นด้วยโซลูชั่นอันหลากหลายของนวัตกรรมและบริการช่วยผู้ประกอบการบริหารจัดการกิจการได้อย่างง่ายดาย
“ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมถือเป็นหัวใจขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สถานการณ์ในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs อย่างหนัก จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเทคโนโลยีทันยุคทันสมัย HP for Business จึงเป็นแพลตฟอร์มมาสนับสนุนการฟื้นธุรกิจของพวกเขา ให้อยู่รอดและต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ ได้” มร. ลิม ชุน เต็ก กรรมการผู้จัดการ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย กล่าว
ผลการสำรวจนี้ให้ข้อมูลเชิงลึก การเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ นำมาเพื่อเป็นเครื่องมือบริหารที่ยึดลูกค้าและพนักงานเป็นศูนย์กลาง เพิ่มศักยภาพ ทักษะและความสามารถในการฟื้นตัวและความพร้อมสำหรับอนาคต ที่น่าสนใจคือ พบว่า 65% ผู้ประกอบการ SMEs ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าธุรกิจตนเองจะอยู่รอดและสามารถเติบโตได้หลังสถานการณ์โควิด และมีมุมมองเชิงบวกต่อความเติบโตในปีหน้า โดย 11% คาดว่าจะเติบโต และ 40% เชื่อมั่นว่าการนำดิจิทัลมาใช้มีความสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ
กลยุทธ์การฟื้นตัวที่สำคัญ 3 อันดับแรกที่ SMEs ไทย ต้องการ คือ การมีรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น รองลงมาคือกลยุทธ์การนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด และการได้รับคำแนะนำกลยุทธ์ธุรกิจที่เหมาะสม สิ่งที่ผู้ประกอบการมองว่าเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ คือ ขาดการตลาดที่ตอบโจทย์ ปัญหากระแสเงินสด และขาดบุคลากรที่ต้องการ
ความสามารถขององค์กรด้านดิจิทัลเป็นสิ่งจำเป็นในการช่วย SMEs ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อเสริมการทำงานให้คล่องตัว และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมรรถภาพของเทคโนโลยีที่ต้องการจะต้องสามารถเชื่อมต่อร่วมกันด้วยนวัตกรรมคอมพิวเตอร์ พีซี เครื่องพิมพ์ ให้มีความประหยัดคุ้มค่า ลดต้นทุนเพิ่มผลกำไร ตลอดจนช่วยป้องกันความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมการทำงานในปัจจุบัน เพราะความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญจากการทำงานในทุกที่ ผ่านซอฟแวร์ความปลอดภัยที่ติดตั้งมาในอุปกรณ์
เอชพี ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและมีหน้าที่สำคัญที่จะช่วยผลักดันธุรกิจ สนับสนุน SMEs ให้เดินหน้าต่อไป ด้วยแพลตฟอร์ม HP for Business ในประเทศไทย เป็นโปรแกรมเช่าซื้อ-เช่าใช้รายเดือนที่ให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชั่นและนวัตกรรมเพื่อการทำงานประสิทธิภาพ พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยมาในผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป และเครื่องพิมพ์ของเอชพี กับบริการดูแลเรื่องเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง ลดความซับซ้อน ลดภาระในการบริหารจัดการทรัพยากรไอที
มร. ลิม ชุน เต็ก กรรมการผู้จัดการ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย มั่นใจว่า “ประเทศไทยสามารถจัดการกับสถานการณ์โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทยมีความมั่นใจว่าจะสามารถฟื้นตัวและอยู่รอดหลังจากสถานการณ์นี้ โดยรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นนั้นถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูแผนธุรกิจ การสำรวจนี้ยังให้ข้อมูลเชิงลึกถึงแนวทางที่จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ จากผลกระทบที่เกิดขึ้นและยังเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในการคิดแผนโซลูชั่นการตลาดเพื่อฟื้นฟูธุรกิจในอนาคต”