แม้ในช่วงครึ่งปีแรก ‘ตลาดจักรยานยนต์’ จะโดนพิษ COVID-19 เล่นงานจน -4% ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าตลาดน่าจะปิดปีที่ 1.3-1.35 แสนคัน เข้าสู่จุดต่ำสุดในรอบ 19 ปีของตลาดซื้อขายรถจักรยานยนต์ในประเทศ ด้วยอัตราการหดตัวลงที่สูงถึงกว่า 21-24% แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ดีนักที่จะมาทำตลาดรถจักรยานยนต์ในเวลานี้ แต่เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้มีแบรนด์น้องใหม่อย่าง ‘ซแว็ก อีวี’ (Swag EV) รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสัญชาติสิงคโปร์ได้มาเปิดตลาดในไทยเป็นที่แรก พร้อมยังมองว่าตลาดไทยยังมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะตลาดอีวี
ตลาดมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่สุดในโลก อยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บุณยาพร วัดสว่าง รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซแว็ก อีวี จำกัด ยอมรับว่าการเข้ามาเปิดตลาดตอนนี้อาจไม่ใช่ช่วงที่ดีนัก ทำให้ต้องหั่นเป้าลงเหลือครึ่งเดียว แต่ยังมองว่าตลาดรถจักรยานยนต์ของไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไปได้ เพราะถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่กว่าจีนหรือยุโรป ขณะที่ตลาดไทยเองนับว่ามีศักยภาพที่สุดในภูมิภาค เพราะผู้บริโภคไทยเปิดรับเทคโนโลยี อีกทั้งก่อนเกิด COVID-19 ยังมีการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ปีละ 1.8 ล้านคัน
“ตอนนี้จีนใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 100% แล้ว ขณะที่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นตลาดใหญ่มาก เพราะ 2.6% ของประชากรมีมอเตอร์ไซค์ แต่กลับยังไม่มีผู้เล่นที่ทำตลาดอีวีจริงจัง ดังนั้น เป้าหมายเราต้องการเป็นบริษัทรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มจากประเทศไทยเป็นประเทศแรก”
เดินหน้าหาพาร์ตเนอร์ โชว์ประสิทธิภาพมอเตอร์ไซค์ อีวี
บุณยาพร กล่าวต่อว่า แม้ซแว็ก อีวีจะไม่ใช่รายแรกที่เข้ามาทำตลาดในไทย แต่รายก่อนหน้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในการทำตลาด เนื่องจากรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบ่งเป็น 2 แบบ 1.ราคาถูก เริ่มต้น 2-3 หมื่นบาท แต่สเปกเหมือนจักรยานไฟฟ้า ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกไม่มั่นใจเรื่องคุณภาพ 2.ราคาสูง เมื่อเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มาทำตลาด แม้คุณภาพดีเเต่ราคาสูงเกือบแตะหลักแสน ทำให้ผู้บริโภคเข้าไม่ถึง
ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจะเน้นที่การให้ความรู้ตลาดเรื่องความต่างระหว่างมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ากับรถน้ำมัน ว่าสมรรถนะไม่ต่างกัน เเต่ประหยัดกว่า แถมไม่สร้างมลพิษ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้จับมือกับ ‘ไปรษณีย์ไทย’ ที่นำร่องใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้านำจ่ายไปรษณียภัณฑ์ และล่าสุดได้จับมือกับ ‘แกร็บ’ (Grab) ในโครงการ “Grab Green Wheels X SWAG: รถพลังงานสะอาด ปราศจากมลพิษ” นำร่องใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในการให้บริการจัดส่งอาหารผ่านแกร็บฟู้ด (GrabFood) จำนวน 50 คัน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในเวลา 1 ปี
“ผู้บริโภคไทยตัดสินใจเลือกซื้อมอเตอร์ไซค์จาก 1.สเปก 2.ราคา 3.การรับประกัน และ 4.ตัวแทนจำหน่าย ซึ่งปีนี้เราเน้นวางรากฐานแบรนด์พร้อมให้ความรู้ตลาดเรื่องความต่างระหว่างมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ากับรถน้ำมัน โดยเราพยายามจับมือกับพาร์ตเนอร์ B2B เพื่อทดสอบสมรรถนะของรถ เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีการใช้งานหนัก ก่อนจะขยายตลาดให้แมสมากขึ้น”
ตั้งเป้าขาย 200 คันสิ้นปี ขึ้นเบอร์ 1 ใน 5 ปี
ในส่วนของราคานั้น ซแว็ก อีวี สามารถทำรายได้ใกล้เคียงกับมอเตอร์ไซค์น้ำมัน โดยเริ่มต้นที่ 62,900 บาท ส่วนศูนย์บริการเเละจำหน่ายปัจจุบันมี 7 สาขา โดยสาขาแรกอยู่ที่ ‘สยามสแควร์วัน’ ที่เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ส่วนอีก 6 สาขา ได้แก่ อำเภอเมืองเพชรบุรี, ชะอำ, สงขลา, หัวหิน, หาดใหญ่ และพัทยา และภายใน 3 ปี ตั้งเป้าขยายให้ครบ 7 จังหวัดใหญ่ โดยจะเน้นจับมือกับตัวแทนที่มีศูนย์บริการเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ ซแว็ก อีวี มีเป้าหมายที่จะทำให้ราคาสินค้าถูกลงอีกเพื่อให้จับต้องได้ง่าย โดยมีแผนเปิดโรงงานผลิตในไทยภายในปี 2022 เนื่องจากปัจจุบันสินค้าทั้งหมดนำเข้าจากจีน ซึ่งต้องเสียภาษีนำเข้าถึง 72% นอกจากนี้ ยังเตรียมจับมือกับกรุงศรีออโต้ในการทำเรื่องไฟแนนซ์อีกด้วย
“ยอดขายตอนนี้เราขายได้ประมาณ 150 คัน โดย 70% เป็นตลาด B2B คาดว่าสิ้นปีจะปิดที่ 200 คัน ส่วนปีหน้าเราคาดว่าจะเติบโตได้ 2-3 เท่าตัว และคาดว่าภายใน 3-5 ปี รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจะมีสัดส่วนประมาณ 20-30% ของตลาดรถจักรยานยนต์ทั้งหมด โดยเราตั้งเป้าเป็นผู้นำในตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วยส่วนแบ่งการตลาด 50%”
ปัจจุบัน ซแว็ก อีวี วางจำหน่ายรถทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Swag EV Type S เน้นไลฟ์สไตล์ เป็น IConic ของ Swag EV ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 62,900 บาท ใช้มอเตอร์ขนาด 750 วัตต์ แบตเตอรี่ 60 โวลต์ 22Ah วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาชาร์จไฟบ้าน ประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ส่วน Type X มีเบาะที่ยาวกว่า ตัวรถใหญ่กว่ารุ่น S เล็กน้อย ใช้กำลังมอเตอร์อยู่ที่ 2200 วัตต์ แบตเตอรี่ 60 โวลต์ 22Ah วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาชาร์จไฟบ้านประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งเช่นกัน ราคาอยู่ที่ 65,900 บาท