BASE ฟิตเนสระดับพรีเมียม เปิดตัวระบบใหม่ Baseline ใช้ติดตามพัฒนาการด้านการออกกำลังกายและร่างกายของสมาชิก วัดผลได้รวดเร็วทุกครั้งที่เข้าคลาส สร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้าขยันเข้าฟิตเนสมากขึ้น อนาคตหวังเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์อุปกรณ์ออกกำลังกาย สร้างระบบลงข้อมูลอัตโนมัติ
“แจ็ค โธมัส” ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ BASE Bangkok ฟิตเนสระดับพรีเมียม เปิดตัวระบบแบบใหม่ Baseline (เบสไลน์) หวังเป็นจุดขายดึงดูดใจลูกค้าเพิ่มขึ้น
ระบบ Baseline นั้นพัฒนามาจากระบบเดิมที่ BASE จะใช้กระดานจดพัฒนาการการออกกำลังกายของลูกค้า จากนั้นคีย์ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ส่งเป็นไฟล์ PDF ให้ลูกค้าทราบทุกๆ 1 เดือน แต่ต่อมาพบว่า การรายงานทุก 1 เดือนเป็นความถี่ที่ไม่เพียงพอ และการจดลงกระดาน ต่อด้วยการคีย์ลงคอมพิวเตอร์นั้นต้องใช้แรงงานมาก โอกาสข้อมูลผิดพลาดสูง
ดังนั้น BASE จึงปรับระบบนี้ให้ทันสมัยขึ้น โดยปัจจุบันลูกค้าที่ใช้ Baseline เมื่อจองคลาสออกกำลังกายและเข้ามา
ล็อกอินที่สตูดิโอ เมื่อใช้เครื่องออกกำลังกายเสร็จตามที่ระบุในคลาส สามารถกรอกข้อมูลลงแท็บเล็ตได้ทันที จากนั้นสามารถเช็กพัฒนาการของตนเองผ่านเว็บไซต์ได้ตลอดเวลา หรือเช็กในอีเมลซึ่งฟิตเนสจะส่งสรุปผลให้ทุกครั้งหลังจบคลาส
เมื่อเปลี่ยนมาเป็นการกรอกข้อมูลลงระบบโดยตรง ทำให้ลดขั้นตอน ลดความผิดพลาด และดูข้อมูลการพัฒนาได้เร็วขึ้น ทำให้ลูกค้ามีแรงบันดาลใจสม่ำเสมอว่าการออกกำลังกายได้ผลอย่างไร รวมถึงเทรนเนอร์ส่วนตัวสามารถอ้างอิงข้อมูลนี้ในการให้คำแนะนำได้
นอกจากการแข่งกับตัวเองแล้ว Baseline ยังมีระบบ “แข่งกับเพื่อน” ด้วย โดยมีกระดานลีดเดอร์บอร์ดแสดงข้อมูลผู้นำการออกกำลังกาย ในกรณีที่สมาชิกนั้นๆ ชื่นชอบการแข่งขัน สำหรับสมาชิกที่ต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถเลือกไม่เข้าร่วมในกระดานลีดเดอร์บอร์ดได้
อนาคตหวังพัฒนาร่วมกับอุปกรณ์ออกกำลังกาย
แจ็คกล่าวว่า ระบบติดตามพัฒนาการของ BASE เป็นเจ้าแรกๆ ในตลาดฟิตเนสทั่วโลกที่มีการพัฒนาขึ้น ก่อนหน้านี้มีบางแบรนด์ที่พัฒนามาก่อนแล้วคือ Crossfit แต่เชื่อว่าระบบของ BASE แตกต่างและละเอียดกว่า เพราะจะแยกการเก็บข้อมูลเป็นรายโปรแกรมได้เลย เช่น คลาสฝึกวิ่งให้ได้ 1 กิโลเมตร ภายใน 5 นาที ดาต้าที่เก็บจะเปรียบเทียบเฉพาะการฝึกคลาสนี้โดยเฉพาะ
ในอนาคต แจ็คมองว่า ขั้นต่อไปที่ต้องทำคือปรับให้ Baseline เป็นแอปพลิเคชัน จากปัจจุบันยังใช้เว็บไซต์เป็นฐาน
หลังจากนั้นเมื่อขยายไปได้หลายสาขามากขึ้น มีฐานสมาชิกสูงขึ้น หวังว่าจะได้ร่วมกับแบรนด์อุปกรณ์ออกกำลังกายชั้นนำเพื่อลิงก์ข้อมูลจากตัวเครื่องเข้าระบบได้อัตโนมัติ จากปัจจุบันนี้ยังต้องใช้การกรอกมือ (manual) อยู่
ขณะนี้ BASE มีทั้งหมด 3 สาขาในกรุงเทพฯ คือ ทองหล่อ สาทร และชิดลม มีฐานสมาชิกที่ใช้งานประจำ 400-500 คน ตั้งเป้าจะขยายสาขาที่ 4 ในสิงคโปร์ แต่เกิดวิกฤต COVID-19 ขึ้นก่อน ทำให้ต้องเลื่อนแผนไปเป็นปี 2564
แจ็คกล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มทดลองใช้เต็มรูปแบบเมื่อต้นปี 2563 ปัจจุบันมีลูกค้าใช้ Baseline 80-90% ของทั้งหมด (ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) และได้รับเสียงตอบรับที่ดี ได้ผลในการสร้างแรงบันดาลใจ ยิมเห็นพัฒนาการลูกค้าที่ชัดเจน โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มบีกินเนอร์จะมีความพยายามสูงขึ้นเพื่อรักษาความสม่ำเสมอในการมาฟิตเนส
ตลาดฟิตเนสไทยโชคดี กระทบจาก COVID-19 น้อยกว่า
ด้านสถานการณ์ธุรกิจฟิตเนสไทย แจ็คมองว่าประเทศไทยโชคดีมากเมื่อเทียบกับตลาดโลก เพราะไทยสามารถควบคุม COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ฟิตเนสได้รับอานิสงส์ดี กลับมาเปิดทำการได้เกือบเป็นปกติ โดยขณะนี้ BASE มีมาตรการที่ต่างจากช่วงก่อนเกิด COVID-19 คือยังต้องลดจำนวนคนต่อคลาสเหลือ 18 คน จากเดิม 30 คน แต่ลูกค้ากลับมาแล้ว 80% เทียบกับช่วงก่อนเกิด COVID-19
เมื่อเทียบกับตลาดตะวันตกที่มีการระบาดหนัก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แจ็คมองว่าตลาดเหล่านั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากและการทำธุรกิจฟิตเนสอาจจะไม่เหมือนเดิม ต้องใช้เทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อปรับไปสู่ฟิตเนสออนไลน์ หรือบางทำเลลูกค้าอาจจะเลือกปรับตัวไปออกกำลังกายที่บ้านแทนมาฟิตเนส
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ นั้น เมื่อสถานการณ์ผ่อนคลาย ลูกค้ายังคงต้องการมารับประสบการณ์และใช้อุปกรณ์ทันสมัยภายในฟิตเนส แม้ว่าจะเห็นการปรับมาลงคลาสแบบ 1 ต่อ 1 กับเทรนเนอร์มากขึ้น จากเดิมจะนิยมคลาสแบบกลุ่ม แต่ลูกค้ายังไม่ได้หายไปจากฟิตเนส และมีโอกาสที่สดใสกว่าเมื่อเทียบกับทั่วโลก