ลุ้นอยู่นานว่าดีลมูลค่า 1.62 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า ‘5 แสนล้านบาท’ ของ ‘LVMH’ กลุ่มบริษัทแบรนด์เนมยักษ์ใหญ่ของโลกที่จะซื้อ ‘Tiffany & Co.’ แบรนด์อัญมณีชื่อดังจะล่มหรือไม่ แต่สุดท้ายดีลดังกล่าวปิดเป็นที่เรียบร้อย โดย LVMH ได้ส่วนลดมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนจะเกิด COVID-19 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ขอให้ LVMH ให้ชะลอการเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ของ Tiffany & Co. จากปัญหาอัตราภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ ทำให้ขั้นตอนพิจารณาถึงข้อตกลงในการซื้อกิจการมูลค่า 1.62 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5 แสนล้านบาท) ในราคา 135 เหรียญต่อหุ้น ต้องถูกเบรก หลังจากนั้นพอเกิดวิกฤตการเเพร่ระบาดของ COVID-19 เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ซีอีโอเครือ LVMH ก็ได้ต่อรองให้ Tiffany & Co. ลดราคา ก่อนจะมีข่าวลือว่า LVMH จะยกเลิกดีล
จากกระแสข่าวลือดังกล่าว ส่งผลให้ Tiffany & Co. ตัดสินใจเตรียมที่จะยื่นฟ้องต่อ LVMH ว่า ‘จงใจหลีกเลี่ยง’ การทำข้อตกลงซื้อกิจการให้สำเร็จลุล่วง รวมถึงการตั้งคำถามเกี่ยวกับราคาที่เสนอขายกิจการ และความโปร่งใสในการดำเนินกิจการของ LVMH ที่มีปัญหาเกี่ยวกับภาษี พร้อมเรียกค่าเสียหาย 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ล่าสุด Tiffany & Co.ได้ตกลงที่จะยอมรับราคาซื้อที่ต่ำกว่าที่ตกลงไว้จากกลุ่ม LVMH จากเดิม 135 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เหลือ 131.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ส่งผลให้ดีลนี้มีมูลค่าเหลือ 1.58 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการยุติการทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่ของทั้ง 2 แบรนด์
“เราเชื่อมั่นในศักยภาพที่น่าเกรงขามของแบรนด์ Tiffany และเชื่อว่า LVMH เป็นบ้านใหม่ที่เหมาะสมของแบรนด์และพนักงานของบริษัท” เบอร์นาร์ด กล่าว
Luca Solca นักวิเคราะห์วิจัยอาวุโสด้านสินค้าฟุ่มเฟือยของ Bernstein มองว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยให้ LVMH สามารถแข่งขันกับ ‘Richemont’ แบรนด์ขายเครื่องประดับสัญชาติสวิสได้ดีขึ้น แถมยังช่วยให้ LVMH มีบทบาทในสหรัฐอเมริกามากขึ้น