จากมังงะที่เกือบถูก ‘ตัดจบ’ สู่อนิเมะพันล้าน อะไรทำให้ ‘ดาบพิฆาตอสูร’ พาตัวเองมาถึงจุดนี้?

‘Kimetsu no Yaiba’ หรือ ‘ดาบพิฆาตอสูร’ ซีรีส์หนังสือการ์ตูนของประเทศญี่ปุ่นที่เขียนโดย ‘โคโยฮารุ โกโตเกะ’ ที่กำลังโด่งดังอย่างมากในขณะนี้ โดยมังงะในญี่ปุ่นก็ขายได้กว่า 100 ล้านเล่ม ส่วนอนิเมชั่นภาค The Movie ‘ศึกรถไฟสู่นิรันดร์’ หรือ ‘Kimetsu no Yaiba: Mugen Ressha-hen’ ที่กำลังเดินหน้าโกยรายได้แล้วกว่า 8.5 พันล้านบาท อาจแซงหน้า Spirited Away ภาพยนตร์การ์ตูนจากสตูดิโอ Ghibli และเป็นผู้ถือสถิติหนังที่ทำรายได้มากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ที่โกยเงินเกือบ 9 พันล้านบาท ส่วนประเทศไทยเองก็ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาทไปแล้ว แต่หลายคนยังไม่รู้ว่า ดาบพิฆาตอสูรเล่มแรกเคยมียอดขายแค่ 10,000 เล่ม อะไรทำให้ ‘ดาบพิฆาตอสูร’ พาตัวเองมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ไปดูกัน

อนิเมะที่แสนจะดีงาม

ในช่วงแรกกระแสนิยมของดาบพิฆาตอสูรยังไม่เป็นที่นิยมนัก โดยในพันทิปมีการพูดถึงว่ามีโอกาสโดนตัดจบเลยทีเดียว แต่ความนิยมก็เริ่มดีขึ้นเมื่อเริ่มภาค ‘ศึกรถไฟสู่นิรันดร์’ ที่ถูกทำเป็นภาค The Movie นั่นเอง โดยตอนนั้นมียอดขายประมาณ 3 แสนเล่ม แต่จุดเปลี่ยนสำคัญจริง ๆ ก็คือ ‘อนิเมชั่น’ ที่ถูก ‘สตูดิโอยูโฟเทเบิล’ (Ufotable) จับขึ้นจอแก้วจนทำให้ดาบพิฆาตอสูรดังเป็นพลุแตกทั้งในไทยและประเทศญี่ปุ่น โดยมังงะถูกซื้อจนขาดตลาดยอดทะลุล้านเล่มขึ้นแท่นมังงะที่มียอดขายเบอร์ 1 ในปี 2019 แซง ‘One Piece’ การ์ตูนระดับตำนาน

โดยหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ภาพในมังงะของดาบพิฆาตอสูรนั้นไม่ได้ดึงดูดให้ซื้อขนาดนั้น แต่กลับกัน ภาพที่ถ่ายทอดในเวอร์ชั่นอนิเมะนั้น ‘ไร้ที่ติ’ พร้อมกับเพลงประกอบที่ยิ่งเพิ่มความดีงามเข้าไปใหญ่ เลยสามารถปลุกกระแสให้ดาบพิฆาตอสูรทะยานแบบฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว

เนื้อเรื่องกระชับไม่ซับซ้อน

ในส่วนของเนื้อเรื่องของดาบพิฆาตอสูรนั้น เริ่มต้นจากเมื่อครอบครัวของ ‘คามาโดะ ทันจิโร่’ ตัวเอกของเรื่องได้ถูกสังหารยกครัวโดย ‘อสูร’ ส่วนน้องสาวที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวก็คือ ‘เนซึโกะ’ ยังกลายเป็นอสูรอีก ทันจิโร่ของเราจึงเลือกเข้า ‘หน่วยพิฆาตอสูร’ เพื่อล้างแค้นพร้อมกับหาวิธีช่วยน้องสาวให้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง

แค่เห็นเส้นเรื่องก็คงจะพอเดาออกว่าไม่ซับซ้อน ซึ่งแทบจะเรียกว่าเดินเป็นเส้นตรงแบบไม่มีเลี้ยวหรือแวะไปไหนเหมือนกับการ์ตูนเรื่องอื่น ทำให้เนื้อหากระชับฉับไวไม่ต้องรอนานกว่าจะเจอบอสของเรื่อง ขณะที่เงื่อนไขการใช้พลังของพระเอกและวายร้ายก็ไม่ซับซ้อนจนต้องมาขบคิดให้ปวดหัวเหมือนการ์ตูนในยุคใหม่ ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม ‘เด็ก ๆ’ ถึงได้โปรดปรานดาบพิฆาตอสูรขนาดนี้

กล้าที่จะทำภาค Movie ต่อจาก อนิเมะ

โดยปกติแล้วการ์ตูนภาค The Movie จะเป็นเนื้อหาใหม่ที่ไม่ได้มีในมังงะ ส่วนหนึ่งก็เพื่อดึงดูดแฟน ๆ มาดูด้วยความสดใหม่ที่ไม่เคยรู้เนื้อเรื่องจากไหนแน่นอน แถมจะมีการอธิบายตัวละครหรือเนื้อเรื่องคร่าว ๆ เพื่อให้คนดูเข้าใจ แต่!!! ไม่ใช่กับ ดาบพิฆาตอสูร The Movie ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ เพราะนี่เป็นเนื้อเรื่องต่อจากอนิเมชั่นที่จบไปในซีซั่นส์ 1 เลย นั่นทำให้หลายคนกังวลว่า หากไม่เคยดูอนิเมะหรืออ่านมังงะจะดูรู้เรื่องไหม” แน่นอนว่า ‘ไม่รู้เรื่อง’ เพราะมันมีอะไรให้เอ๊ะแน่นอน แต่ผู้ชมก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับความสนุกได้ และนั้นช่วยให้ฐานแฟนของดาบพิฆาตอสูรเพิ่มขึ้นไปอีก

เพราะด้วยความที่แฟน ๆ การ์ตูนเรื่องนี้เป็นเด็กเยอะ ‘ผู้ปกครอง’ จึงต้องพาลูกจูงหลานไปชม รวมถึงกระแสที่แรงมากจนคนที่ ‘ไม่รู้จัก’ อยากจะไปดูด้วยตาว่า ‘สนุก’ แค่ไหน ซึ่งนั่นทำให้หลายคนเริ่มกลับมาดูอนิเมะหรืออ่านมังงะก่อนหรือกลังรับชมภาค The Movie ซึ่งกลายเป็นว่าช่วยเพิ่มฐานแฟนคลับไปโดยปริยาย

ตัวละครแสนอบอุ่นจับต้องได้

หากให้อธิบายว่าตัวละครพระเอกในเรื่องอบอุ่นยังไง หรืออธิบายว่าเหล่าคาแร็กเตอร์ในเรื่องจับต้องได้แบบไหนคงจะยากสักหน่อย เพราะการ ‘รับชมเอง’ น่าจะสัมผัสได้ง่ายกว่า แต่ถ้าให้อธิบายคร่าว ๆ คือ พระเอกที่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ใจดีและเห็นอกเห็นใจแม้กระทั่งศัตรูที่ต้องสู้ด้วย หรืออย่างตัวละครบางตัวที่ต้องเสียสละชีวิตเพื่อต่อสู้กับอสูรที่ไม่มี ‘Dragon Ball’ มาช่วยชุบชีวิต ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้แฟน ๆ อินด้วยได้ไม่ยาก

ถ้าแค่พูดปากเปล่าว่าอินขนาดไหนคงไม่เห็นภาพ ดังนั้นลองไปดูผลสำรวจเหล่าเด็กประถมกว่า 7,000 คนพบว่า 10 ‘บุคคลในดวงใจ’ เป็นใครกันบ้างนั้นพบว่า ‘อันดับ 1’ ได้แก่ ‘คามาโดะ ทันจิโร่’ พระเอกจากดาบพิฆาตอสูรนั่นเอง โดยเด็ก ๆ ให้เหตุผลว่า “เป็นคนที่พยายามและไม่ยอมแพ้ ดีกับทุกคน รักครอบครัว” ส่วนอีก 9 อันดับนั้น 6 อันดับเป็นตัวละครจากดาบพิฆาตอสูรทั้งสิ้น ส่วนอีก 3 อันดับที่เหลือก็คือ พ่อ แม่ และคุณครู (ซึ่งทันจิโร่เป็นบุคคลในดวงใจมากกว่าพ่อ-แม่ไปอีก) แค่นี้คงเห็นแล้วว่าเด็ก ๆ อินกันมากแค่ไหน

ถ้าว่ากันซื่อ ๆ สิ่งที่นำพา ‘ดาบพิฆาตอสูร’ มาถึงจุดนี้คงไม่มีอะไรมากกว่าคำว่า ‘Content is King’ เพราะด้วยเนื้อหาที่สนุกน่าติดตาม เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ภาพสวย ดนตรีประกอบดีงาม แค่องค์ประกอบเหล่านี้ก็ทำให้ได้ในคนดูได้ไม่ยาก