ทั้งที่วิกฤตเผาบ้านเผาเมืองพฤษภาฯ มหาวินาศเพิ่งผ่านพ้นมามาไม่กี่เดือน แต่จากเหตุระเบิดกลางเมืองหลายครั้งที่ผ่านมา และความเคลื่อนไหวไม่ปกติ ต่างเป็นตัวบ่งชี้ถึง “สัญญาณอันตราย”
ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังไม่พ้นจากปากเหวแห่งหายนะ!
ถึงแม้การประเมินตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวจะบ่งชี้ว่าประเทศขยับไปสู่ทิศทางที่ดีในแดนบวก แต่อีก
ทางหนึ่งการประมาณการ “อัตราความน่าเป็นห่วง” ด้านความมั่นคงปลอดภัย เริ่มขยับสู่ “โซนแดง”
เสี่ยงเข้าแดน “ติดลบ” อีกครั้ง!!
และที่มองกันว่าสถานการณ์บ้านเมืองไม่อาจไว้วางใจ ที่หลายฝ่ายประเมินโดยยึดเอา “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นตัวตั้งปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
ด้วยเพราะอดีตนายกฯ ที่หลบหนีความผิดคดีอาญาแผ่นดิน และความร่ำรวยผิดปกติ
แสดงให้เห็นแล้วว่า “ศักยภาพการทำลายล้างสูง”
“ทักษิณ” ที่ถูกประเมินว่า ยังไม่ยอมพ่ายแพ้ และยังมีพลังที่จะต่อสู้ทุกรูปแบบ เพื่อคืนสู่อำนาจ โดยเฉพาะการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งที่เชี่ยวชาญ
จึงมีหลายฝ่ายที่ต้องการขันอาสามา “แก้โจทย์ใหญ่” จัดการคนที่มองกันว่าเป็น “ศัตรู” และเป็นภัยต่อความมั่นคงประเทศ บล็อกเกมที่จะเดินไปสู่การเลือกตั้งของถนัดของทักษิณ
แม้จะมีฝ่ายที่รับผิดชอบ มีรัฐบาลบริหารบ้านเมืองมี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ทำงานอยู่แล้ว!
“รัฐบาล” ไปไม่ไหว หมดเวลาของ “อภิสิทธิ์” ??
ด้วยเพราะการประเมินจากโจทย์ “ทักษิณ” ที่กำลังปรับเปลี่ยงรูปแบบต่อสู้ที่วิเคราะห์ได้ทั้ง อาจถอยเพื่อรอ “เจรจา” หรือเดินไปสู่ “เกมหนัก”
ขณะเดียวกันประเมินจากหัวขบวนฝ่ายความมั่นคง ทั้งกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะนั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. พร้อมแผงอำนาจบูรพาพยัคฆ์-ตท.12 และการเข้าสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี
พล.อ.ประยุทธ์ “ทหารเสือ” พล.ต.อ.วิเชียร “ตำรวจวัง” ที่ถือเป็น “ตัวจริงเสียงจริง” กับภารกิจสำคัญ ปกปักษ์รักษาประเทศชาติและราชบัลลังก์!
อีกทั้งการตีความล่วงหน้าถึงสัญญาณ “เปลี่ยนตัวเล่น” ด้วยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่รอการชี้ขาดจากศาลรัฐธรรมนูญ2-3เดือนหน้านี้
รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับสปีดการทำงานของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศชุดต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไข รธน.ที่ชะลอความเร็วลง เหมือนรอความชัดเจนบางอย่าง
ทุกฝ่ายต่างจดจ้องรอดู “จุดเปลี่ยนประเทศไทย”
ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวในความสงบเงียบ ทั้งเหตุระเบิด การก่อหวอดของกลุ่มคนเสื้อแดง เป็น “ปัจจัยเร้า” ที่ทำให้ป้อมค่ายฝ่ายขั้วอำนาจต่างๆ ขยับตามไปด้วย
โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวในการแต่งตัวรอ “จุดเปลี่ยน” พ้นยุค ปชป. และ “อภิสิทธิ์”
มีความพยายามปั่นเกมเร้าสถานการณ์ให้ไปสู่ภาวะCHAOS ยุ่งเหยิง สับสนอลหม่าน ที่รัฐบาลปกติไม่สามารถจะรับมือได้ จำเป็นต้องมีสูตรพิเศษประเทศไทย
รัฐบาลเฉพาะกิจ นายกฯรัฐบาลแห่งชาติ!
ขบวนการที่จะเดินไปสู่ “สูตรพิเศษ” เริ่มก่อตัวให้เห็น โดยมีหลายกลุ่ม หลายขั้วอำนาจที่แสดงความต้องการขันอาสาหากสัญญาณการเปลี่ยนแปลงถูกโยนลงมา
เตรียมช่วงชิงส่วนแบ่งอำนาจ บนหัวโขน “ผู้นำเฉพาะกิจ”
โดยรายชื่อบุคคลที่ถูกจับตาว่า จะเข้ามาเป็นนายกฯในสถานการณ์พิเศษอยู่หลายราย ทั้ง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีคนสำคัญของรัฐบาลทักษิณ
เป็นบิ๊กเนมที่แม้ติดชนักการเมือง แต่ถูกพูดถึงทุกครั้งเมื่อประเด็นรัฐบาลสูตรพิเศษถูกจุดขึ้น และวันนี้ทั้งคู่ก็พยายามปรากฏชื่อโชว์ตัวทางสาธารณะ
เดินสายเชื่อมต่อคอนเนกชั่นกับฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะ “บุคคลชั้นนำประเทศ” รวมทั้งเกาะเกี่ยวอยู่กับภาคการเมืองในป้อมค่ายต่างๆ
แม้แต่ขั้วทักษิณ ปีกของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ชูสูตร “รบ.คนกลาง” ฝ่าวิกฤตมาตลอด
เช่นเดียวกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีต รมว.คลัง ที่มาแนวเดียวกับ2ส. “สมคิด-สุรเกียรติ์” รวมทั้งถูกจัดอยู่ในลิสต์ “ตัวกลาง” ที่มาทำหน้าที่ “เคลียร์” ให้ทักษิณ
และยังได้เปรียบในเรื่องสถานะ “ฐานันดรศักดิ์”
ขณะที่รายของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภา มีกลุ่มคนเสื้อเหลืองบางปีก และผู้ที่ตั้งตนเป็นโปรโมเตอร์สูตรพิเศษ “คาบไปป์” พ่นควันคิดเกมสนับสนุน
รวมทั้งในแวดวงชนชั้นนำกำลังซาวเสียง “บุคคลสถานะพิเศษ” ที่มีตำแหน่งสูงส่ง ทำงานใกล้ชิด ไม่มีข้อกังขาเรื่องความจงรักภักดี ที่รอถูกเรียกเข้ามารับภารกิจ
โดยเฉพาะในทำเนียบผู้อาวุโสของบ้านเมือง องคมนตรี อดีตบิ๊กทหาร อดีตข้าราชการ ที่ได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบงานสำคัญๆ ของบ้านเมืองเวลานี้
แต่ที่ถูกพูดถึงหนาหูขึ้น คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ในฐานะพี่ใหญ่ของก๊วน “3ป.บูรพาพยัคฆ์”
เมื่อสถานการณ์ของประเทศยามนี้ ทหารยังมีความสำคัญในการชี้ทิศทางความเป็นไปบ้านเมือง พล.อ.ประวิตร ที่เรียกกันในกองทัพว่าเป็น “ป๋าคนใหม่” จึงได้รับการจับตา
ขณะที่อีกทาง พล.อ.ประวิตร ก็พาบิ๊กๆ ในกองทัพ ไปผูกติดอย่างแนบแน่นอยู่กับฝ่ายการเมืองสายสีน้ำเงิน พรรคภูมิใจไทย ของเนวิน ชิดชอบ
สีน้ำเงินบวกเขียว แพ็กกันในนาม “ขั้วอำนาจใหม่”
พล.อ.ประวิตร หรือ“บิ๊กป้อม” จึงจัดได้ว่าถือว่าเป็นฝ่ายดุลอำนาจสำคัญอยู่ในมือ และมี
ข่าวความเคลื่อนไหวในการเดินเกมอำนาจ ทั้งพยายามผลักดันบุคคลอื่น
รวมทั้งปรากฏชื่อ พล.อ.ประวิตรเอง เป็นแคนดิเดต “นายกฯ รัฐบาลแห่งชาติ”
ดังคำทำนายของโหร คมช. ผู้นำฝ่ายวิกฤตจะมีอักษรในชื่อย่อและชื่อจริง อักษร ป.ปลา
อีกทั้งโหราจารย์ในวัดดังกรุงเทพฯ เคยทายทักไว้ว่า พล.อ.ประวิตร กำลังได้ลุ้น
รับ “ครุฑตัวที่สอง” ของชีวิต!
อย่างไรก็ดี กับสูตรพิเศษ ตั้งรัฐบาลและนายกฯรัฐบาลแห่งชาติ กับกลุ่มบุคคลชั้นสูง บุคคลในกองทัพ และจากฝ่ายการเมือง ที่อาจจะมีเหตุผล เตรียมการแก้โจทย์ใหญ่
เตรียมการรับมือภยันตราย จากบุคคลที่มองว่าเป็นมหันตภัย “ทักษิณ”
แต่อีกทางหนึ่ง คนเหล่านี้มักมองว่าบ้านเมืองในยามสุ่มเสี่ยงวิกฤต เป็นภาระของบุคคลพิเศษอย่างพวกเขาที่มองตัวเองว่า มีความรู้ความสามารถ คิดอ่านสูงส่งเหนือกว่าคนทั่วไป
แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว คนเหล่านี้ต่างก็แฝงเร้นในการเสนอตัวเข้ามารับภาระในยามวิกฤต ทั้งต้องการได้รับความสำคัญ ที่ในยามสถานการณ์ไม่ปกติ
ที่สำคัญคือต้องการ “ส่วนแบ่งอำนาจ” หรือครอบครองอำนาจทั้งหมด!
และทั้งๆที่สูตร “รัฐบาลพิเศษ” ลักษณะนี้ ที่ผ่านการพิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่า ไม่สามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ หนำซ้ำยิ่งทำให้ภาวะวิกฤตยิ่งวิกฤติหนักเข้าไปใหญ่
แต่ก็ยังมีความคิดที่จะนำพาบ้านเมืองไปในทางสุ่มเสี่ยงหายนะเช่นนั้น!