วิกฤต ‘ชิป’ ขาดตลาดพ่นพิษ ‘ตลาดรถยนต์’ คาดแบรนด์ใหญ่สูญเสียการผลิต 100,000 คันในไตรมาสแรก

Source : Facebook Ford Thailand

‘ฟอร์ด (Ford)’ แบรนด์รถยนต์สัญชาติอเมริกันได้สั่งหยุดการผลิตรถยนต์ในโรงงานที่ตั้ง ณ ซาร์หลุยส์ เยอรมนีเป็นเวลาหนึ่งเดือน เนื่องจากขาดแคลนชิปที่จำเป็น ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเริ่มฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

ก่อนหน้านี้ ฟอร์ด ต้องปิดโรงงานผลิตรถ SUV ใน Louisville รัฐ Kentucky เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเนื่องจากขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ล่าสุด ได้สั่งปิดการทำงานของโรงงานตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนชิปและความต้องการรถที่ลดลง โดยโรงงานแห่งนี้มีพนักงานประมาณ 5,000 คน โดยรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Ford ในยุโรปคือ Ford Focus

“เรากำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับตารางการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อพนักงาน ซัพพลายเออร์ ลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายทั่วยุโรป อย่างไรก็ตาม เรายังไม่มีแผนที่จะหยุดการผลิตในโรงงานอื่น ๆ ในยุโรปของเรา” โฆษกของฟอร์ดกล่าว

การปิดตัวลงของโรงงานฟอร์ดในเยอรมนีชี้ให้เห็นว่าปัญหาขาดแคลนชิปกำลังส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก อย่าง Volkswagen กล่าวในแถลงการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า จะต้องปรับการผลิตที่โรงงานในจีน, อเมริกาเหนือ และยุโรปในไตรมาสนี้ และ Audi ได้ปลดพนักงาน 10,000 คนเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนชิป โดยต้องเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับผลกระทบที่โรงงานในเยอรมนีและเม็กซิโก นอกจากนี้แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota, Nissan, Honda ต่างก็กำลังปรับการผลิตเพื่อตอบสนองต่อปัญหาการขาดแคลน รวมถึงแบรนด์อย่าง Hyundai ก็มีการปรับด้วย

การขาดแคลนชิปในช่วงนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ เนื่องจากบริษัทวิจัย Bernstein ประเมินว่ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 9% ในปี 2564 หลังจากที่คาดว่าจะลดลง 15% ในปีที่แล้ว แต่ปัญหาการขาดแคลนชิปทำให้การฟื้นตัวมีความเสี่ยง ตามที่นักวิเคราะห์ของ UBS ระบุว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกอาจสูญเสียการผลิต 100,000 คันในช่วง 3 เดือนแรกของปีหรือประมาณ 4% ของผลผลิตรายไตรมาสทั่วโลกอันเป็นผลมาจากการขาดแคลนส่วนประกอบ

ปัจจุบันรถ 1 คันจะต้องใช้ชิปประมาณ 50-150 ชิ้น เนื่องจากแอปพลิเคชันที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และการควบคุมการนำทาง

Source