“วินฟาสต์” เวียดนาม เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติ 3 รุ่นลุยตลาดสหรัฐฯ-ยุโรป

วินฟาสต์ (VinFast) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของเวียดนาม เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติ 3 รุ่นใหม่ที่จะออกสู่ตลาดในปีนี้ ตามการรายงานของสื่อท้องถิ่น

การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่นใหม่ของวินฟาสต์ เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของบริษัทที่จะก้าวขึ้นเป็นค่ายรถยนต์รายใหญ่ระดับโลกในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ตามการรายงานของสำนักข่าว VNExpress โดยทั้ง 3 รุ่น มีชื่อว่า VF31 VF32 และ VF33 เป็นรถอเนกประสงค์ประเภท SUV ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยตนเองหลายระบบ รวมทั้งระบบช่วยเหลือควบคุมพวงมาลัย ควบคุมเลนอัตโนมัติแบบแปรผัน และระบบจอดรถอัตโนมัติ

รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกล 300-500 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้งขึ้นอยู่กับรุ่น นอกจากนี้ รถยังสามารถหาจุดจอดได้ด้วยตัวเองและคนขับสามารถเรียกรถให้ขับมาหาได้

สำหรับเวอร์ชันพรีเมียมของรถแต่ละรุ่นจะมีกล้อง 14 ตัว ที่สามารถตรวจจับวัตถุที่อยู่ห่างออกไปได้เกือบ 690 เมตร และบริษัทยังอ้างว่าระบบขับเคลื่อนด้วยตนเองของบริษัทเร็วกว่ารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่มีอยู่ในท้องตลาดถึง 8 เท่า

วินฟาสต์ ระบุว่า รถยนต์เหล่านี้ได้มาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในโลกที่รวมถึงได้คะแนน 5 ดาวจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางจราจรบนถนนหลวงแห่งชาติของสหรัฐฯ และได้รับคะแนนสูงสุดระดับ 5 ดาวจากการทดสอบการชนของรถยนต์ใหม่แห่งยุโรป (EURO NCAP)

สำหรับรถยนต์เวอร์ชันมาตรฐานของรุ่น VF31 สามารถสั่งซื้อได้ในเวียดนาม ตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้ และจะเริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่เดือน พ.ย. ส่วนรถยนต์รุ่น VF32 และ VF33 ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่เดือน ก.ย. และเริ่มส่งมอบในเดือน ก.พ. 2565

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ แคนาดา และสหภาพยุโรปด้วย โดยเปิดรับคำสั่งซื้อในเดือน พ.ย. และเริ่มส่งมอบรถตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2565

วินฟาสต์ เป็นกิจการในเครือบริษัทวินกรุ๊ป กลุ่มบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ที่ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์เมื่อ 3 ปีก่อน โดยบริษัทมีโรงงานรถยนต์ใน จ.หายฟ่อง ทางภาคเหนือของประเทศ และมีศูนย์วิจัยและพัฒนาในออสเตรเลีย เยอรมนี และสหรัฐฯ

บริษัทระบุว่า การผลิตจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า และรถยนต์ไฟฟ้า เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของบริษัทที่จะก้าวเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฮเทคในตลาดโลก และเพื่อช่วยพัฒนาการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยการลดการปล่อยมลพิษ

(ภาพประกอบจากเว็บไซต์ Zing News)

Source