เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ‘สตาร์บัคส์ (Starbucks)’ ได้รายงานผลประกอบการว่ายอดขายสาขาเดิมที่มีในสหรัฐฯลดลง 5% ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 รอบสอง ซึ่งทำให้เกิดข้อจำกัดในการรับประทานอาหาร
ยอดขายสุทธิทั้งหมดของสตาร์บัคส์ลดลง 5% สู่ระดับ 6.75 พันล้านดอลลาร์ จากที่ประเมินว่าจะทำได้ที่ 6.93 พันล้านดอลลาร์ โดยยอดขายหน้าร้านทั่วโลกลดลง 5% มีธุรกรรมน้อยลง 19% แต่ราคาเฉลี่ยต่อบิลเพิ่มขึ้น 17% อีกทั้งจำนวนสมาชิก Starbucks Rewards ที่มีการใช้งานในช่วง 90 วันที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 15% เป็น 21.8 ล้านคน
ทั้งนี้ เฉพาะยอดขายหน้าร้านในอเมริกาลดลง 5% เช่นกัน โดยการฟื้นตัวของตลาดอเมริกายังคงได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ COVID-19 ระลอกสองเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นขึ้น จากที่ตอนแรกยอดขายหน้าร้านลดลงเพียง 3% ในเดือนตุลาคม แต่ลดลงถึง 8% ภายในเดือนธันวาคม
ขณะที่ประเทศจีนที่เป็นตลาดใหญ่อันดับสองของสตาร์บัคส์มียอดขายในสาขากลับมาเป็นบวกครั้งแรกนับตั้งแต่วิกฤต COVID-19 เริ่มต้นขึ้น โดยยอดขายสาขาเพิ่มขึ้น 5% ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดร้านใหม่ไป 278 แห่งในช่วงไตรมาสนี้ รวมสาขาทั้งหมดประมาณ 33,000 แห่ง
ในไตรมาสหน้า Starbucks คาดการณ์ว่ายอดขายสาขาเดิมในสหรัฐฯ จะเติบโต 5-10% ยอดขายสาขาเดิมในเดือนมกราคมคาดว่าจะกลับมาเป็นบวกหลังจากที่ลดลงในเดือนธันวาคม ส่วนในประเทศจีนคาดว่ายอดขายสาขาเดิมจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า
Kevin Johnson ซีอีโอ สตาร์บัคส์ กล่าวว่า บริษัทมีเทศกาลวันหยุดที่ “แข็งแกร่งมาก” การเปิดใช้งานบัตรของขวัญ Starbucks เกินกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ โดยเมนู Irish Cream Cold Brew เป็น “เมนูโปรดวันหยุดใหม่” เครื่องดื่มดังกล่าวเปิดตัวในปี 2019 และเป็นไปตามความสำเร็จของเมนู Pumpkin Cream Cold Brew ซึ่งแซงหน้าเมนู Pumpkin Spice Latte เป็นเครื่องดื่มที่ขายดีที่สุดในเมนูฤดูใบไม้ร่วง
ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการปีงบประมาณ 2021 ว่ากำไรต่อหุ้นจะอยู่ระหว่าง 2.42 ถึง 2.62 ดอลลาร์สหรัฐ จากที่เคยคาดว่าจะอยู่ที่ 2.34 ถึง 2.54 ดอลลาร์