อินเด็กซ์ ครีเอทีฟฯ ฉีกแนวทำ “ร้านสะดวกซัก” บทเรียน COVID-19 ต้องมีธุรกิจหลากหลาย

อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ บริษัทจัดอีเวนต์-การตลาดเจ้าใหญ่ของไทย เปิดตัวธุรกิจใหม่ “KK Wash” แฟรนไชส์ร้านสะดวกซักหยอดเหรียญ ชูจุดขายลงทุนต่ำ ทำร้านไซส์จิ๋ว เริ่มต้นเพียง 2 เครื่อง มองตลาดคนต้องการมีรายได้เสริม โดยครั้งนี้เป็นธุรกิจที่สองแล้วที่บริษัทแตกไลน์ออกจากธุรกิจงานอีเวนต์ มองเป็นบทเรียนระยะยาวหลังเผชิญ COVID-19 บริษัทต้องมีธุรกิจให้หลากหลายกว่าเดิม

“เกรียงไกร กาญจนโภคิน” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวธุรกิจใหม่แฟรนไชส์ “ร้านสะดวกซัก” แบรนด์ KK Wash โดยเป็นแบรนด์ที่บริษัทก่อตั้งเอง ผ่านการร่วมเป็นพันธมิตร ใช้เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญของ บริษัท ซิงเกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ในสมรภูมิร้านสะดวกซักที่กำลังร้อนแรง เกรียงไกรกล่าวว่า KK Wash มีจุดขายคือ

1) ลงทุนต่ำเริ่มต้นเพียง 99,900 บาท สำหรับแพ็กเกจไซส์ S เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญแบบฝาบน 2 เครื่อง ส่วนไซส์ใหญ่สุดแพ็กเกจไซส์ L ราคา 3.5 แสนบาท ได้เครื่องซักผ้า 4 เครื่อง เครื่องอบผ้า 2 เครื่อง เครื่องจำหน่ายน้ำยาซักผ้า 1 เครื่อง และเครื่องแลกเหรียญ 1 เครื่อง ทุกรูปแบบแถมอุปกรณ์ตกแต่งร้านและป้ายส่งเสริมการขาย

2) ใช้พื้นที่น้อย – เครื่องซักผ้า 2 เครื่องใช้พื้นที่เพียง 3 ตร.ม. ตั้งหน้าบ้านได้ ไม่ต้องมีคนเฝ้า ไม่ต้องเช่าพื้นที่ถ้าหากหน้าบ้านอยู่ในทำเลดี

3) ไม่เก็บเปอร์เซ็นต์เพิ่มจากรายได้ – ลักษณะแฟรนไชส์ KK Wash เป็นแบบจ่ายรอบเดียวจบ ไม่เก็บเปอร์เซ็นต์จากรายได้เพิ่มอีก

“เกรียงไกร” กาญจนโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน)

ส่วนสเปกเครื่องซักผ้านั้นเป็นเครื่องซักผ้าฝาบนแบบ Home Use แบรนด์ SINGER รับประกัน 2 ปี โดยแบรนด์ SINGER มีศูนย์บริการอยู่ทั่วประเทศ จึงสามารถขายแฟรนไชส์ได้ทุกจังหวัด

 

เจาะคนต้องการมีรายได้เสริม

โมเดลธุรกิจที่เริ่มต้นแบบไซส์จิ๋วเพียง 2 เครื่อง ลงทุนไม่ถึง 1 แสนบาทนั้นเป็นแบรนด์แรกในไทยที่ลงมาเล่นตลาดเล็กขนาดนี้ เทียบกับแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมักจะเริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำ 1.5 แสนบาท และส่วนมากจะอยู่ที่มากกว่า 1 ล้านบาท เพราะเป็นโมเดลร้านขนาดใหญ่แบบฟูลเซอร์วิส บางแบรนด์มีที่นั่งทำงาน ปลั๊กไฟ ไวไฟ ติดแอร์ให้ด้วย

ทั้งนี้ ในตลาดร้านสะดวกซัก อินเด็กซ์ฯ ให้ข้อมูลว่ามีมูลค่าราว 500 ล้านบาท และมีผู้เล่นใหญ่ประมาณ 10 แบรนด์ แบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดคือ “Otteri” ซึ่งมีกว่า 250 สาขาแล้ว

ตัวอย่างตารางคืนทุนจาก KK Wash

อย่างไรก็ตาม เกรียงไกรกล่าวว่า KK Wash จะเน้นเจาะคนต้องการ “รายได้เสริม” มากกว่าทำเป็นธุรกิจหลักของตน จึงทำโมเดลขนาดเล็ก ไม่เก็บแฟรนไชส์แพง เพื่อให้ลงทุนง่าย โดยมีการคำนวณตัวอย่างว่า ถ้ามีคนใช้บริการ 6 คนต่อเครื่องต่อวัน จะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10 เดือน เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นที่ว่าง ต้องการใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า

“สมมติคนที่มาทำงานกรุงเทพฯ มีเงินลงทุน มีบ้านอยู่ต่างจังหวัด สามารถลงทุนให้พ่อแม่ก็ได้” เกรียงไกรกล่าว โดยแย้มที่มาของไอเดียธุรกิจนี้ว่าเกิดจากบริษัทไปจัดงานอีเวนต์ที่เชียงราย จึงได้เห็นว่าชุมชนต่างจังหวัดก็มีร้านสะดวกซักหรือเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญแล้ว สะท้อนดีมานด์ว่าต่างจังหวัดก็ทำได้ และถ้าไปพร้อมกับแบรนด์ที่น่าเชื่อถือน่าจะทำให้ผู้ใช้บริการมั่นใจเรื่องความสะอาดมากขึ้น

 

จับกลุ่มราคากลางๆ

ด้านลูกค้า end users ของแบรนด์นั้น ดูจากค่าซักผ้าเริ่มต้นของ KK Wash จะเริ่มที่ 30 บาทต่อครั้งต่อเครื่อง 9.5 กิโลกรัม ซึ่งถูกกว่าตลาดร้านซักผ้ามีแบรนด์ที่มักจะเริ่ม 40 บาทต่อครั้ง เป็นการตัดฟังก์ชันเสริมเพื่อให้ถูกลง เหมาะกับลูกค้า end users ในชุมชน ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย

รูปแบบเครื่องซักผ้าเป็นแบบฝาบน

แต่ราคาก็จะสูงกว่าเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญแบบไร้แบรนด์ที่มักจะคิดราคาเริ่มต้น 20 บาทต่อครั้ง ประเด็นนี้เกรียงไกรมองว่าผู้บริโภคจะยอมจ่ายสูงขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องซักผ้าดี มีคุณภาพ มีการดูแลความสะอาด ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่วงมากับการมีแบรนด์

เกรียงไกรวางเป้าหมายปีนี้ของ KK Wash ที่ 200 สาขา มูลค่ารวม 50 ล้านบาท โดยส่วนที่บริษัทจะได้กำไรคือค่าแฟรนไชส์ และส่วนแบ่งเล็กน้อยจากการขายเครื่องซักผ้าของ SINGER ขณะเดียวกันอินเด็กซ์ฯ ไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนัก เพราะการทำตลาดภาพรวมของแบรนด์จะใช้ทีมของอินเด็กซ์ฯ พัฒนาเอง

 

ธุรกิจใหม่ต้องมีแบบ “ระยะยาว”

สำหรับธุรกิจ KK Wash เป็นครั้งที่สองแล้วที่อินเด็กซ์ฯ แตกไลน์จากธุรกิจหลักเมื่อปี 2563 บริษัทเริ่มต้นแตกไลน์ด้วยการเปิดแฟรนไชส์บริการรับฉีดพ่นฆ่าเชื้อ Kill & Klean Hygienic Solutions ตอบรับกับสถานการณ์ COVID-19 โดยตรง ซึ่งเกรียงไกรระบุว่า ได้รับผลตอบรับที่ดี มีแฟรนไชซี 26 รายใน 6 ประเทศ คือ ไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา บาห์เรน และ UAE ทำรายได้ปี 2563 ประมาณ 20 ล้านบาท

การแตกธุรกิจให้หลากหลายคือบทเรียนที่เราเรียนรู้ใหม่จาก COVID-19 เมื่อก่อนเราขยายไปต่างประเทศก็คิดว่าพอ แต่มาเจอสถานการณ์นี้ งานต่างประเทศเราเป็นศูนย์ เราจึงต้องทำธุรกิจอื่นด้วย

การแตกไลน์ธุรกิจใหม่เช่นนี้เป็นแผนระยะยาวของอินเด็กซ์ฯ โดยต้องการจะหาธุรกิจอื่นในลักษณะแฟรนไชส์เพิ่มอีกตามโอกาส ในปีนี้คาดว่าจะมีธุรกิจอย่างที่สามตามมา ดังนั้น รวมธุรกิจใหม่ 3 แบรนด์คาดว่าจะทำรายได้ไปแตะ 100 ล้านบาท

“การแตกธุรกิจให้หลากหลายคือบทเรียนที่เราเรียนรู้ใหม่จาก COVID-19 เมื่อก่อนเราขยายไปต่างประเทศก็คิดว่าพอ แต่มาเจอสถานการณ์นี้ งานต่างประเทศเราเป็นศูนย์ เราจึงต้องทำธุรกิจอื่นด้วย แม้จะหมด COVID-19 แล้วก็ต้องทำต่อ และต้องปรับตัวตลอดเพราะโลกยุคใหม่ไม่มีอะไรยั่งยืน ธุรกิจใหม่ๆ จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา” เกรียงไกรกล่าว

 

อีเวนต์หดครึ่งปี เน้นทำงาน Own Project ล่ารายได้

ด้านธุรกิจหลักคือ “อีเวนต์” เกรียงไกรเปิดเผยว่า การระบาดระลอกสองเมื่อปลายปีก่อนจนถึงต้นปีนี้ ทำให้การฟื้นตัวไม่สูงเท่าที่คาด เดิมบริษัทคาดว่าปี 2564 จะมีรายได้ 1,200 ล้านบาท แต่เมื่ออีเวนต์ต้นปีถูกยกเลิกไปกว่าสิบงานรวมมูลค่า 60 ล้านบาท และงานใหม่ๆ น่าจะเงียบเหงายาว เทศกาลสงกรานต์เชื่อว่าภาครัฐจะไม่อนุญาตให้จัด และอีเวนต์ต่างๆ จะงดเว้นจนถึงปลายไตรมาสสอง ทำให้เชื่อว่ารายได้จะต้องปรับลดลงจากคาด

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจุดที่ต่ำสุดได้ผ่านไปแล้วแน่นอน เพราะปี 2563 อินเด็กซ์ฯ มีรายได้เพียง 460 ล้านบาท (ลดลง -69% จากปี 2562) ปีนี้ไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อนด้วยสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้นและบริษัทมีรายได้ธุรกิจใหม่เพิ่ม

งานดิจิทัล อาร์ต House of Illumination บนชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์

ขณะเดียวกัน ธุรกิจหลักก็ต้องมีการปรับตัว เพราะงานจ้างจัดอีเวนต์การตลาด (Marketing Service) หรือพัฒนาโครงการถาวร (Creative Business Development) ซึ่งเป็นงานจ้างของลูกค้าลดจำนวนลง บริษัทจึงต้องฮึดสู้สร้างงานโครงการอีเวนต์แบรนด์ตนเอง (Own Project) เพิ่มขึ้นมาและทำให้แข็งแรง

เกรียงไกรกล่าวว่า งานแบบ Own Project เช่น House of Illumination ซึ่งเป็นงานไลต์เฟสติวัลที่เซ็นทรัลเวิลด์ แบบนี้มีความเสี่ยงสูงกว่าเพราะบริษัทต้องลงทุนเอง แต่ระยะยาวแล้วถ้างานติดตลาดจะทำให้นำงานไปจัดได้หลายที่ อย่างต้นปีที่ผ่านมามีการจัดงานไลต์เฟสฯ ในสิงห์ปาร์ค จ.เชียงราย และเดือนมีนาคมนี้จะมีจัดที่เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ อนาคตกำลังหาลู่ทางขยายไปทุกภาค ที่มองว่ามีโอกาสคือภาคอีสานและภาคใต้

โดยโครงการ Own Project รวมกับธุรกิจใหม่ตระกูล “KK” ต้องการจะดันให้เป็น 50% ของรายได้รวมภายในปี 2565 เพื่อให้เป็นดั่ง “ใบรับประกัน” ความเสี่ยงของบริษัท มีวิธีหารายได้หลายทางนั่นเอง