เป็นที่ฮือฮาในสหรัฐฯ เมื่อมีผู้บริโภคพบว่าบัญชี Netflix ถูกล็อก พร้อมข้อความเตือนว่าให้ใช้บัญชีของตนเองเพื่อรับชม ดูเหมือนว่าสตรีมมิ่งยักษ์แห่งนี้กำลังทดลองหาวิธีป้องกันไม่ให้มีการหารค่าสมาชิกกันในหมู่ลูกค้า แต่จะเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้องหรือไม่ ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขนาดนี้
เว็บไซต์ The Streamable โพสต์ภาพหน้าจอ Netflix ที่ถูกล็อกบัญชี และระบุแจ้งเตือนผู้ใช้ว่า “If you don’t live with the owner of this account, you need your own account to keep watching.” หรือ “ถ้าคุณไม่ได้อยู่อาศัยร่วมกับเจ้าของบัญชีนี้ คุณต้องมีบัญชีของตัวเองเพื่อรับชมต่อ” พร้อมกับมีปุ่มให้กดส่งโค้ดชั่วคราวไปที่อีเมล เพื่อให้ผู้ใช้นำมายืนยันตัวตนว่าเป็นเจ้าของบัญชีหรืออยู่บ้านเดียวกับเจ้าของบัญชีจริงๆ
เรื่องนี้สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ผู้ใช้งานว่า Netflix จะทำจริงๆ หรือ? เพราะถึงแม้ว่าเงื่อนไขการใช้บริการจะแจ้งไว้ชัดเจนว่า บัญชีสมาชิกอนุญาตให้ใช้ร่วมกันได้เฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติ ใครๆ ก็นำไปแชร์กันเพื่อหารค่าสมาชิกทั้งนั้น เพราะจะได้จ่ายต่อเดือนถูกลง
บริษัทวิจัย Magid เคยสำรวจในประเด็นนี้ โดยพบว่าผู้ใช้ 33% มีการหารค่าสมาชิกกับคนอื่น กระทั่งในประเทศไทยก็ไม่แตกต่างกัน หลายคนสมัครแพ็กเกจครอบครัว 419 บาทต่อเดือน ชมพร้อมกันได้ 4 จอ เพื่อจะหารกัน 4 คนในบัญชีเดียว และไม่ใช่แค่หารกับเพื่อน แฟน ครอบครัว หรือคนรู้จัก ยังมีคนที่หารกับคนแปลกหน้าที่เจอกันผ่านอินเทอร์เน็ต ถึงขนาดมีคนตั้งร้านออนไลน์ขายสมาชิก Netflix ราคาถูก
จึงเป็นที่น่าสนใจว่า Netflix จะ ‘เอาจริง’ กับเรื่องนี้แค่ไหน เพราะถ้าหารไม่ได้ก็จะทำให้ลูกค้าต้องจ่ายค่าสมาชิกแพงขึ้น ลูกค้าอาจเปลี่ยนไปดูเจ้าอื่นที่กำลังมาแรงไม่แพ้กัน เช่น Disney+, HBO แทนได้
ทั้งนี้ ทางโฆษกของ Netflix ชี้แจงกว้างๆ ว่าการทดลองยืนยันบัญชีแบบนี้ บริษัทมีทดลองหลายร้อยครั้งทุกปี และที่จริงมีประโยชน์สำหรับผู้บริโภคเพราะจะช่วยป้องกันการแฮกบัญชีได้ ส่วนการขยายไปใช้งานในวงกว้างขึ้นนั้นก็ ‘อาจจะไม่ทำ’ ก็ได้
ปัจจุบัน Netflix มีสมาชิกทั่วโลกมากกว่า 200 ล้านบัญชี เติบโตแรงจากช่วง COVID-19 ที่กวาดสมาชิกเพิ่มได้ถึง 16 ล้านราย แต่บริษัทก็ยังต้องหาทางทำให้รายได้เพิ่ม จึงอาจเป็นที่มาของความพยายามคุมเข้มการหารค่าสมาชิกครั้งนี้