“ดู เดย์ ดรีม” เจ้าของแบรนด์ “Snail White” เปิดแผน 5 ปียกเครื่องใหม่ กระจายพอร์ต 5 หมวดสินค้า หมดยุคขายเฉพาะสกินแคร์แต่ต้องมีสินค้าอื่นช่วยให้เติบโต ซุ่มเจรจาดีลซื้อแบรนด์อื่นและใช้แบรนด์เดิมผลิตสินค้าใหม่ พร้อมเปิดช่องทางขายออนไลน์-โฮมช้อปปิ้งตามให้ทันพฤติกรรมผู้บริโภค ลดการขนกองทัพพรีเซ็นเตอร์แต่เน้นคนเดียวโปรโมตสินค้าได้หลากหลาย
สถานการณ์ COVID-19 ล็อกดาวน์ห้างและล็อกดาวน์ประเทศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เรื่องนี้มีผลโดยตรงกับธุรกิจสกินแคร์ของ “ดู เดย์ ดรีม” ซึ่งเน้นขายผ่านโมเดิร์นเทรดและมีลูกค้าต่างชาติไม่น้อย จนรายได้กลุ่มธุรกิจสกินแคร์ของบริษัทเมื่อปี 2563 ลดลง -44% จากปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ บมจ.ดู เดย์ ดรีม รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า รายได้รวมของบริษัทปี 2563 ขึ้นไปแตะ 1,000 ล้านบาทพอดี (ไม่รวมหมวดรายได้อื่น) เติบโต 37% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 179.54 ล้านบาท พลิกกลับจากปีก่อนหน้าที่ขาดทุน 53 ล้านบาท ผลมาจากการขายเครื่องใช้ส่วนบุคคลและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ช่วยหนุนให้บริษัทเติบโต
เครื่องใช้ส่วนบุคคลและสินค้าอุปโภคบริโภค คือหมวดสินค้าใหม่ที่มาจากการเข้าซื้อ กลุ่มบริษัท คิวรอน เมื่อปลายปี 2562 บริษัทนี้เป็นเจ้าของแบรนด์อุปกรณ์จัดแต่งทรงผม Lesasha (เลอซาช่า) และยาสีฟัน Sparkle (สปาร์คเคิล) และทำให้ดู เดย์ ดรีม ได้โอกาสขยายพอร์ตอย่างต่อเนื่องซึ่งจะเป็นแผนในช่วง 5 ปีจากนี้
5 เสาหลักกลุ่มสินค้าทำเงิน
“นันทวรรณ สุวรรณเดช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดู เดย์ ดรีม เปิดแผนงานยกเครื่องใหม่ของบริษัทในช่วง 5 ปีข้างหน้า ก้าวสู่เป้ารายได้ 3,000 ล้านบาท
ว่ากันที่เรื่องสินค้าก่อน ภาพจำเดิมของดู เดย์ ดรีมนั้นถูกผูกติดอยู่กับ “Snail White” เพราะเป็นสินค้าที่สร้างกระแสแรงเมื่อประมาณ 6-7 ปีก่อน แต่การเติบโตไปข้างหน้า บริษัทจะเน้นการกระจายสินค้าหลากหลาย แบ่งเป็น 5 หมวด ดังนี้
1.สกินแคร์ : Snail White, Namu Life, SoS, Oxecure
2.อุปกรณ์ความงาม : อุปกรณ์แต่งผม Lesasha, อุปกรณ์กำจัดขน Emjoi
3.ของใช้ส่วนตัว : ยาสีฟันและแปรงสีฟัน Sparkle
4.กีฬาและเวลเนส : อุปกรณ์เล่นกีฬา Jason
5.อื่นๆ : เครื่องครัว Bear, เครื่องรีดผ้า @Home
เห็นได้ว่าอาณาจักรสินค้าดู เดย์ ดรีมหลากหลายมาก โดยมีฐานคิดว่า “ผู้หญิง” ใช้อะไรบ้างในหนึ่งวัน บริษัทต้องการจะชิงมาร์เก็ตแชร์จากการใช้จ่ายของผู้หญิงให้ได้ 3% ภายในปี 2573 ไม่ใช่แค่สกินแคร์หรือเครื่องสำอางซึ่งตลาดใหญ่แต่ผู้เล่นก็มาก แต่ต้องขยายไปที่สินค้าอื่นซึ่งอาจจะแข่งขันน้อยกว่า ยกตัวอย่างเช่น เครื่องครัว Bear จะเป็นสินค้าแนวไลฟ์สไตล์ผู้หญิง มีความน่ารัก และจับเทรนด์ในช่วง COVID-19 ที่คนหันมาเข้าครัวมากขึ้น
“ปิยวัชร ราชพลสิทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงินของดู เดย์ ดรีม กล่าวว่า บริษัทจะเจรจาเข้าซื้อหรือร่วมทุนกับแบรนด์อื่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาแบรนด์ใหม่เติมพอร์ตตามหมวดสินค้าที่วางไว้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะมีดีลให้เห็นในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ นอกจากนี้ จะนำแบรนด์เดิมมาแตกไลน์สินค้าเพิ่มด้วย เช่น Lesasha จะผลิตแชมพูสระผมเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกัน ทั้งนี้ ดู เดย์ ดรีมไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีจำนวนแบรนด์มากน้อยแค่ไหน หรือต้องทุ่มให้กับหมวดไหน ขึ้นอยู่กับดีลและโอกาสที่เข้ามา
“ต่อไปนี้อยากให้คนมองหุ้น DDD ไม่ใช่แค่หุ้น Snail White แล้ว แต่อยากให้คนมองเห็นคิวรอนด้วย หรือเห็นแบรนด์อื่นๆ ที่จะมีในอนาคต” ปิยวัชรกล่าว
นันทวรรณกล่าวว่า เมื่อปี 2563 ยอดขายของบริษัทยังอยู่ใน 3 กลุ่มหลัก คือ สกินแคร์และเครื่องสำอาง 44% อุปกรณ์ความงาม 37% และ ของใช้ส่วนตัว 19% เห็นได้ว่าอุปกรณ์ความงามเป็นพอร์ตที่ใหญ่ใกล้กับสกินแคร์แล้ว และไม่แปลกอะไรหากอนาคตจะแซงสกินแคร์ในที่สุด
ออนไลน์+โฮมช้อปปิ้ง ช่องทางเจาะผู้บริโภค
เรื่องที่สองที่ดู เดย์ ดรีมยกเครื่องคือ “ช่องทางจำหน่าย” โดยนันทวรรณกล่าวว่า บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญาแต่งตั้งให้ DKSH เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ทั้ง 4 แบรนด์คือ Snail White, Namu Life, SoS, Oxecure ในประเทศไทยและ CLMV ผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดและร้านค้าดั้งเดิม (TT)
“การกระจายสินค้าเราต้องทำให้ดีขึ้น เพราะถ้าไปถึงร้านแล้วไม่มีจำหน่าย หรือมีสต๊อกแค่ 2 ขวด 5 ขวด ก็ไม่มีประโยชน์” นันทวรรณกล่าว “เราเลือก DKSH เพราะเห็นศักยภาพจากการร่วมงานในแบรนด์ Oxecure มาก่อน สามารถผลักดันยอดขายให้เราได้ถึง 90%”
ไม่เฉพาะช่องทางออฟไลน์ที่ดู เดย์ ดรีมกำลังขันนอตให้แข็งแรง นันทวรรณกล่าวว่า ช่องทางจำหน่ายปีนี้จะหลากหลายขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขายออนไลน์เป็น 20% (จากเดิม 13%) และเพิ่มโฮมช้อปปิ้ง-เทเลเซลส์ร่วมกับ amado shopping และ RS Mall สัดส่วน 6-7% จากเดิมยังไม่เคยเข้าช่องทางนี้มาก่อน
เหตุที่ต้องเพิ่มช่องทางออนไลน์กับโฮมช้อปปิ้ง เพราะมองว่าเทรนด์ผู้บริโภคซื้อสินค้าผ่านช่องทางเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ และเหมาะกับทิศทางทำตลาดแบบใหม่ของดู เดย์ ดรีมที่ต้องการพูดเรื่องคุณสมบัติและนวัตกรรมของสินค้าให้มากขึ้น สอดคล้องกับพื้นที่สื่อบนออนไลน์และโฮมช้อปปิ้งที่มีเวลาอธิบายผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ซื้อมากกว่าสปอตโฆษณาโทรทัศน์
พรีเซ็นเตอร์ไม่ต้องเยอะ แต่ต้องได้ครบ!
ย้อนกลับไปในช่วงเปิดตัวแบรนด์ Snail White แบรนด์นี้เรียกเสียงฮือฮาจากผู้บริโภคได้มากเพราะการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ หรือร่วมงานกับดารา คนดัง เซเลบมากมาย แต่ภาพนั้นอาจจะไม่ได้เห็นแล้ว โดยปิยวัชรกล่าวว่า ไม่ใช่ว่าดู เดย์ ดรีมจะไม่มีพรีเซ็นเตอร์ แต่จะมีน้อยลง จากเดิมมีถึง 5-6 คนพร้อมกัน ต่อไปอาจจะเหลือ 1-2 คนก็เพียงพอ
“เมื่อก่อนเรามีดาราโฆษณาเยอะมากเพราะต้องสร้าง awareness ให้คนรู้จักเราก่อน แต่ตอนนี้โจทย์ใหม่ของเราคือเราต้องมีเวลาพูดประโยชน์ของสินค้าเชิงลึกมากกว่า” ปิยวัชรกล่าว
ทำให้การใช้พรีเซ็นเตอร์จะเฟ้นหาคนดังที่สามารถโฆษณาผลิตภัณฑ์ของดู เดย์ ดรีมได้หลากหลาย เช่น ดารา A ใช้ Snail White บำรุงผิว และยังใช้ยาสีฟัน Sparkle แถมยังผมสวยด้วย Lesasha เป็นต้น
ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ดู เดย์ ดรีมเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก แถมยังมีแผนสร้างรายได้เสริมในยุคดีมานด์ตลาดสกินแคร์หดด้วยนั่นคือ ปีนี้จะเป็นปีแรกที่บริษัทรับผลิตสกินแคร์แบบ OEM ให้กับแบรนด์อื่น หลังจากการผลิตลดเหลือเพียง 50% ของกำลังผลิตรวม จึงต้องการใช้กำลังผลิตที่ยังว่างอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด