วิเคราะห์กระแส ‘สรยุทธคัมแบ็ก’ ดึงเรตติ้งให้ ‘ช่อง 3’ ได้แค่ไหน ในวันที่คนไทยดูทีวีน้อยลง

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ ที่ได้ห่างหายไปจากรายการ ‘เล่าข่าว’ เป็นเวลาถึง 5 ปีเนื่องจากคดี ‘ไร้ส้ม’ แต่ในเดือนพฤษภาคม 2564 ที่จะถึงนี้สรยุทธจะคัมแบ็กสู่วงการอีกครั้ง โดยจะยังทำงานกับ ‘ช่อง 3’ ตามเดิม และหนึ่งในคำถามที่หลายคนคงสงสัยก็คือ สรยุทธจะกลับมา ‘กอบกู้เรตติ้ง’ ให้กับช่อง 3 ได้เหมือนก่อนหน้านี้ไหม และตลาดจากนี้ที่มีรายการเล่าข่าวเต็มไปหมดจะเป็นอย่างไร

รู้จัก สรยุทธ สุทัศนะจินดา

‘สรยุทธ’ เริ่มทำงานเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น เมื่อปี 2531 อยู่สายข่าวรัฐสภา 2 ปี และทำข่าวสายทำเนียบรัฐบาลอีก 2 ปี และในปี 2539 สรยุทธทำงานให้เครือเนชั่นกรุ๊ป เป็นนักวิเคราะห์ข่าวการเมืองที่ไอทีวี และเนชั่นแชนแนล จนกระทั่งปี 2545 เนชั่นร่วมกับโมเดิร์นไนน์ทีวีทำรายการวิเคราะห์ข่าวและเล่าข่าว อย่าง ถึงลูกถึงคน และ คุยคุ้ยข่าว ซึ่งทั้ง 2 รายการก็ได้รับความนิยมอย่างมาก

จนในปี 2546 สรยุทธได้ร่วมบริหารและผลิตรายการกับช่อง 3 ซึ่งทุกรายการก็โด่งดังอย่างสุดจนกลายเป็นต้นแบบรายการ ‘เล่าข่าว’ จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเล่าเช้านี้ , เรื่องเด่นเย็นนี้ และ เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ นอกจากนี้ยังจัดรายการ ‘จับเข่าคุย’ ทางช่อง 9 อสมท อีกด้วย

ทั้งนี้ รายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ช่วยสร้างเรตติ้งข่าวเช้าให้ช่อง 3 อย่างมากจนต้องขยายเวลาเพิ่มจากวันละ 2 ชั่วโมง เป็น 3 ชั่วโมง และ 3.30 ชั่วโมง ขณะที่ค่าโฆษณาก็พุ่งสูงถึง 2.2 แสนบาทต่อนาทีจากก่อนหน้าที่ราคาหลักหมื่นเท่านั้น

ภาพจาก Facebook เรื่องเล่าเช้านี้

คดี ‘ไร้ส้ม’ จุดเปลี่ยนสำคัญ

ในปี 2548 อสมท ได้ทำสัญญาร่วมผลิตรายการ ‘คุยคุ้ยข่าว’ กับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ซึ่ง สรยุทธเป็นเจ้าของบริษัทและผู้ดำเนินรายการ โดยฝ่าย อสมท ลงทุนเวลาออกอากาศ (เจ้าของช่องทีวี) ส่วนไร่ส้ม ลงทุนผลิตรายการ โดยแบ่งเวลาโฆษณา (Time Sharing) ไปขาย โดย อสมท กำหนดว่าหากขายโฆษณาเกินเวลา ไร่ส้มต้องจ่ายค่าโฆษณาเกินเวลาให้ตามราคาโฆษณาที่กำหนด (นาทีละ 2 แสนบาท) โดย อสมท ให้ส่วนลด 30%

จนมาปี 2549 อสมทเริ่มสังเกตว่ารายการข่าวเที่ยงคืน ออกอากาศช้ากว่าเวลาที่กำหนด จึงตรวจสอบสาเหตุ และพบว่ามาจากไร่ส้ม ‘ขายโฆษณาเกินเวลา’ โดยมีพนักงานของ อสมท คือนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ชนาภา บุญโต) ซึ่งมีหน้าที่ลงใบคิวเวลาโฆษณาไม่ได้แจ้งการขายโฆษณาเกินเวลาของไร่ส้ม

สุดท้าย คดีดังกล่าวจบลงที่ศาลฎีกาได้พิพากษาสั่งจำคุก สรยุทธเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน ไม่รอลงอาญา โดยสรยุทธเข้าสู่เรือนจำเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ 2 รอบในปี 2563 คงเหลือโทษจำคุก 3 ปี 6 เดือน จึงทำให้เหลือโทษอีก 2 ปี 4 เดือนซึ่งเข้าหลักเกณฑ์พักโทษ จึงได้ออกจากเรือนจำเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2564 โดยต้องติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) และรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุกเดือนจนกว่าจะพ้นกำหนดโทษ

คืนจอ ‘ช่อง 3’

หลังจากที่มีข่าวว่า สรยุทธได้รับการพักโทษและการปล่อยตัวทำให้ราคาหุ้นของช่อง 3 ขยับจากราคา 8.05 บาทในสิ้นปี 2563 มาอยู่ที่ 10.70 บาท (15 มีนาคม) เนื่องจากหลายคนคาดว่า สรยุทธจะทำให้เรตติ้ง หรือจำนวนคนดูช่อง 3 มากขึ้น ซึ่งหมายถึงรายได้จากโฆษณาที่จะตามมา

ซึ่งสรยุทธก็ได้ยืนยันว่าจะกลับมาทำงานที่ช่อง 3 หลังจากหายไป 5 ปี โดยจะมาทำหน้าที่พิธีกรข่าว 2 รายการ คือ เรื่องเล่าเช้านี้ และ เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม โดยช่อง 3 ก็ได้ขยายเวลาเรื่องเล่าเช้านี้เพิ่มจากเดิม 6.00-7.55 น. เป็น 6.00-8.20 น. หรือวันละ 2.20 ชั่วโมงอีกด้วย

นอกจากนี้ยังโหมทำตลาดรายการข่าวโดยปล่อยโฆษณา 5 พิธีกรดัง ‘ครอบครัวข่าว 3’ ได้แก่ กิตติ สิงหาปัด รายการข่าวสามมิติ, ไก่ ภาษิต เรื่องเด่นเย็นนี้, หนุ่ม กรรชัย เที่ยงวันทันเหตุการณ์-โหนกระแส และ เอ ดนยกฤต ขันข่าวเช้าตรู่

เรตติ้งจะเป็นอย่างไร?

ปกติรายการ ‘ข่าวเช้า’ ในปัจจุบันมีเรตติ้งสูงสุดประมาณ 2-3% ซึ่งช่อง 7 เป็นผู้นำ ส่วน ‘ข่าวเที่ยง’ จะอยู่ที่ 1-2% เช่นเดียวกับ ‘ข่าวเย็น’ มีเรตติ้งเฉลี่ย 1-2% แต่ในช่วงที่สรยุทธยังคงจัดรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เรตติ้งเฉลี่ยนับตั้งแต่จัดมาอยู่ที่ 4-5% นับว่าสูงที่สุด แต่หลังจากที่ไม่มีสรยุทธเป็นผู้ดำเนินรายการเรื่องเล่าเช้านี้เรตติ้งก็ตกลงมากกว่า 60% ส่วนรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ตกลงมากกว่า 30%

แน่นอนว่าการกลับมาของสรยุทธจะส่งผลดีต่อเรตติ้งแน่นอน แต่จะคาดการณ์ถึงเรตติ้งว่าจะกลับมาได้มากน้อยแค่ไหนอาจจะยาก โดยทาง ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือ MI มองว่าไม่ใช่แค่การกลับมาของสรยุทธ แต่ยังมีปัจจัยอย่างพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ที่ดูทีวีลดลงด้วย ซึ่งนับจากปี 2557 จนถึงปัจจุบัน กลุ่มผู้ชมหลักของสื่อทีวีหายไปมากถึง 25% นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งที่มากขึ้น ทั้ง ไทยรัฐทีวี และ อมรินทร์ทีวี ที่เน้นข่าว

“ปัจจุบัน รายได้ของทีวี 30% มาจากละคร ส่วนรายการข่าวและรายการวาไรตี้อยู่ที่อย่างละ 20-25% ซึ่งแม้จะมีสรยุทธเรตติ้งก็คงจะแซงละครไม่ได้ เพราะสล็อตเวลาของละครออกแบบมาให้ดึงเรตติ้งมากที่สุด”

สงครามราคาอาจกลับมา

แม้ว่าจะหมดยุคที่สรยุทธจัดรายการเรื่องเล่าเช้านี้ แต่ทางช่อง 3 ยังคงเรตการ์ดไว้ที่นาทีละ 2 แสนบาท และไม่เคยลดราคาลงมาเลยในช่วง 5 ปีมานี้ แต่แน่นอนว่าเมื่อไม่มีสรยุทธที่เป็น ‘แม่เหล็ก’ ทำให้สล็อตเวลาจึงเหลือ และแม้ว่าจะไม่ปรับราคาเรตการ์ดลง แต่หลังบ้านน่าจะมีการลดแลกแจกแถม

อย่างไรก็ตาม ภวัตมองว่าการที่สรยุทธกลับมา ทางช่อง 3 อาจจะ ไม่ขึ้นราคา แต่โปรโมชันหลังบ้านที่เคยมีอาจหายไป เพราะมีอำนาจในการต่อรองกลับมาเหมือนอดีต แต่สำหรับรายการข่าว คู่แข่ง อาจจะต้องมีการ ปรับลดราคา เพื่อดึงความสนใจ ทำให้แบรนด์และเอเยนซี่รู้สึกถึงความคุ้มค่ามากขึ้น เป็นต้น

ตัวชี้วัดเก่าใช้ไม่ได้

หากวิเคราะห์กันจริง ๆ แล้ว สรยุทธไม่ใช่แค่ ผู้ประกาศข่าว แต่เป็น Influencer ที่สามารถปลุกกระแสข่าวและสร้างอิมแพคให้กับสังคมได้มาโดยตลอด ดังนั้น การจะใช้เรตติ้งมาชี้วัดอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ซึ่งเชื่อว่าสรยุทธจะสามารถดึงดูดความสนใจในกลุ่มที่อยู่บนโลกออนไลน์ได้ ดังนั้น การชี้วัดจากนี้โลก ‘ออนไลน์’ ก็เป็นอีกส่วนสำคัญ โดยอาจต้องรอดูฟีดแบ็กในโซเชียลมีเดีย

และเพราะความเป็น Influencer ที่สามารถสร้างกระแสสังคมได้ ทำให้เหล่าเอเยนซี่และแบรนด์ยังคงมองสรยุทธ เป็นบวก เพราะเชื่อว่าจะเข้าถึงฐานผู้ชมในวงกว้างได้ ซึ่งที่ผ่านมาฐานแฟนคลับของสรยุทธจะเป็นกลุ่ม Baby Boomer, GenX และ GenY ตอนต้น แต่หากสามารถเข้าไปในโลกออนไลน์ได้ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มฐานแฟนใหม่ ๆ ได้

แม้การกลับมาของสรยุทธในครั้งนี้จะทำให้หุ้นของช่อง 3 เป็นบวก มุมมองของแบรนด์และเอเยนซี่จะเป็นบวก แต่สุดท้ายจะดึงคนดูกลับมาได้แค่ไหน เรตติ้งช่อง 3 จะพุ่งหรือไม่ คงต้องรอดูอีกทีตั้งแต่ 1 พฤษภาคม เป็นต้นไป