ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ของอินเดียในเดือนเมษายนที่ผ่านมาพุ่งสูงสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าวิกฤตสุขภาพที่เลวร้ายลงของประเทศ อาจทำให้ความพยายามที่จะหยุดการระบาดใหญ่ทั่วโลกต้องฝันสลาย เพราะเชื้อที่กลายพันธุ์ รวมถึงวิกฤตเศรษฐกิจที่จะกระทบกับทั่วโลก
เชื้อกลายพันธุ์ที่อาจเป็นปัญหาโลก
ประเทศในเอเชียใต้ซึ่งมีประชากรราว 1.4 พันล้านคน หรือ 18% ของประชากรโลก ขณะที่ 1 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมามาจากอินเดียประเทศเดียว โดยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อินเดียมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละกว่า 300,000 ราย แซงหน้าบราซิลและกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากสุดอันดับ 2 ของโลก ปัจจุบันผู้ติดเชื้อในอินเดียมีจำนวนถึง 20.67 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 226,000 คน
ปัญหาที่น่ากลัวไม่ใช่แค่การที่อินเดียไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ แต่การระบาดของอินเดียกำลังแพร่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆ อย่าง ‘เนปาล’ และ ‘ศรีลังกา’ ที่มีรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีพื้นที่ติดต่ออย่าง ‘ฮ่องกง’ และ ‘สิงคโปร์’ ก็ได้มีการระบาดที่มาจากอินเดีย ซึ่งไวรัส COVID-19 ของอินเดียเป็นสายพันธุ์ใหม่ ‘B.1.617’ เป็น ‘ชนิดกลายพันธุ์คู่’ ดังนั้น นี่คือสัญญาณว่าอินเดียอาจทำให้เกิดปัญหาระดับโลก
WHO ได้จัดประเภท B.1.617 เป็นตัวแปรที่น่าสนใจ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์อาจติดต่อกันได้มากกว่า ร้ายแรงกว่า รวมทั้งสามารถต้านทานวัคซีนและการรักษาในปัจจุบันได้ดีกว่า องค์กรกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจความสำคัญของตัวแปร
“นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เราทราบดีว่าเมื่อมีการระบาดครั้งใหญ่ก็จะมีรูปแบบต่าง ๆ เกิดขึ้น และจนถึงขณะนี้วัคซีนของเรายังคงใช้ได้อยู่ แต่อินเดียเป็นประเทศใหญ่และหากมีการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ แน่นอนว่าเราทุกคนจะต้องกังวลเกี่ยวกับสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ที่อาจจะแพร่กระจายไปทั่วโลก” ดร. Ashish Jha คณบดี School of Public Health ของมหาวิทยาลัยบราวน์กล่าว
ภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจโลก
เพราะอินเดียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และเป็นประเทศหลักที่ส่งผลต่อการเติบโตของโลก โดยนักเศรษฐศาสตร์บางคนในอินเดียได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของอินเดีย แต่พวกเขายังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้ เนื่องจากข้อจำกัดในการควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสได้รับการกำหนดเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย เมื่อเทียบปีที่แล้วที่ปิดทั้งประเทศ
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศเมื่อเดือนที่แล้วคาดว่า เศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโต 12.5% ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2565 หลังจากที่หดตัว 8% ในปีงบประมาณที่แล้ว
ที่ผ่านมา หอการค้าสหรัฐฯ ได้เตือนว่าวิกฤตโควิดในอินเดียสามารถฉุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ตกลงได้ เนื่องจากบริษัทในสหรัฐฯ หลายแห่งจ้างคนงานชาวอินเดียหลายล้านคนเพื่อทำงาน ขณะที่ Uma Kambhampati ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก University of Reading กล่าวว่า การระบาดครั้งใหม่ในอินเดียทำให้หลายประเทศเข้มงวดการล็อกดาวน์ รวมถึงการเดินทาง และนั่นเป็นข่าวร้ายสำหรับสายการบินสนามบินตลอดจนธุรกิจอื่น ๆ ที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการเดินทาง
“เมื่อพิจารณาถึงประเด็นเหล่านี้และวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เกิดขึ้น จึงมีความจำเป็นที่โลกจะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลืออินเดีย ไม่ว่าจะร้องขอความช่วยเหลือดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม” Kambhampati กล่าว
วัคซีนทั่วโลกตกอยู่ในความเสี่ยง
แม้อินเดียเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่สุดของโลก แต่อินเดียประสบปัญหาวัคซีนป้องกันโควิดในประเทศไม่เพียงพอเสียเอง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อแผนขยายการฉีดวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันให้ประชาชน และเพราะวิกฤตการระบาดของอินเดีย ทำให้ทางการต้องยุติการส่งออกวัคซีนไปต่างประเทศ เนื่องจากประเทศต้องให้ความสำคัญกับความต้องการภายในประเทศก่อน
ดังนั้น ความล่าช้าในการส่งออกวัคซีนโดยอินเดียอาจทำให้ประเทศที่มีรายได้ต่ำเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด โดยปัจจุบันมีชาวอินเดียเพียง 9% จากประชากร 1,400 ล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว