สรุปข้อมูลจาก “วอร์เรน บัฟเฟตต์” บอกใบ้นักลงทุนหุ้นหน้าใหม่ ในประชุมประจำปีล่าสุด

วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เจ้าพ่อนักลงทุนชื่อดังเผยมุมมองน่าสนใจในการประชุมประจำปีครั้งล่าสุด แง่มุมนี้เทียบได้กับบทเรียนพิเศษที่ปู่เซียนหุ้นมอบให้หลานนักลงทุนมือใหม่ ซึ่งอาจจะช่วยแนะให้เหล่าเม่าน้อยได้เห็นภาพกว้างของการลงทุนแบบมีหลักการอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

หนึ่งในบทสรุปข้อมูลสำคัญจากเวทีนี้ คือวอร์เรน บัฟเฟตต์ชี้ให้เห็นว่าไม่มีหุ้น Top 20 ของโลกตัวใดในปี 1989 ที่ยังยืนหยัดอยู่ในตาราง Top 20 ได้ในวันนี้ แปลว่าบริษัทรายใหญ่ที่สุดในโลก 20 อันดับแรกในขณะนี้ล้วนเป็นบริษัทเกิดใหม่อายุไม่เกิน 32 ปี ภาวะนี้ปู่มองว่าเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของโลกในรูปแบบที่น่าทึ่ง ดังนั้นใครหรือบริษัทไหนในวอลล์สตรีมที่เคยมั่นใจในตัวเองเหมือนช่วง 30 ปีที่แล้ว อาจจะต้องคิดนอกกรอบและมองมุมใหม่ให้เร็วก่อนจะตกขบวน

วันนี้ Berkshire Hathaway บริษัทโบรกเกอร์รายย่อยของวอร์เรน บัฟเฟตต์กำลังถูกจับตา เพราะบริษัทรายงานว่ามีลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการระบาดของโรค Covid-19 โดยจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ลงทุนครั้งแรก ตรงกับการสำรวจล่าสุดในหลายประเทศ เช่นสหรัฐฯ ที่พบว่า 15% ของนักลงทุนในตลาดหุ้นนั้นเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มลงทุนในปี 2020

ล่าสุดมีคำเรียกกลุ่มนักลงทุนในวงกว้างว่า Generation Investor หรือคน Gen I ที่ต่างจาก Gen X, Gen Y, baby boomers หรือคนรุ่นอื่น เพราะ Gen I จะไม่เกี่ยวกับอายุ แต่เป็น Gen ที่เกี่ยวข้องกับลำดับเวลาเริ่มลงทุน โดย Gen I จะใช้เรียกผู้ลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นหลังจากกุมภาพันธ์ปี 2020

Gen I ต้องเข้าใจ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ใช้เวทีงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของ Berkshire Hathaway เมื่อวันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมาเพื่อพูดคุยกับนักลงทุนรายใหม่ที่เข้ามาในตลาดมากเป็นประวัติการณ์ เนื้อหาหลักคือการฉายให้เห็นความไม่แน่นอนของหุ้นแต่ละตัว โดยเปรียบเทียบกับหุ้น Top 20 อันดับแรกของโลกตามมูลค่าตลาด วันที่ 31 มีนาคมของปีนี้

เมื่อเปรียบเทียบกับตาราง Top 20 ของปี 1989 ปีนั้นมีบริษัทจำนวนมากจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมจากตลาดหุ้นจนหุ้นฮอตพอกับบางบริษัทในสหรัฐอเมริกา การเปรียบเทียบพบว่าบริษัทชั้นนำในปี 1989 ได้แก่ Industrial Bank of Japan ซึ่งมีมูลค่าตลาด 104,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึง Sumitomo Bank, Exxon, General Electric และ IBM 

แต่วันนี้รายชื่อในตารางประกอบด้วย Apple, Saudi Aramco, Microsoft และ Amazon มหาเศรษฐีอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่ามูลค่าของบริษัทชั้นนำของโลกนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น Apple ที่มีมูลค่าตลาดเกิน 2 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้ว และที่สำคัญคือ ไม่มีบริษัทใดเลยที่เคยมีรายชื่อในตาราง Top 20 ของปี 1989

ภาวะโลกเปลี่ยนคือเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ นั่นคือบริษัทตัวท็อปของโลกมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนปัจจุบันหลายบริษัทมีมูลค่าตลาดหลักล้านล้านดอลลาร์แทนที่จะเป็น พันล้านแบบสมัยก่อน สิ่งนี้ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์มองว่าเป็นไปได้ทั้งความเท่าเทียมกันของระบบลงทุน และอัตราเงินเฟ้อ

แม้เซียนการเงินส่วนใหญ่จะบอกว่า วันนี้ระบบทุนนิยมได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ จนทำให้ธุรกิจของหลายบริษัทขยายตัวได้รวดเร็ว แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์กำลังมองไปในทางเดียวกับผู้บริหารจำนวนมาก ว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังจากที่โลกมีวัคซีนโควิด-19 โลกจะต้องเผชิญกับระดับเงินเฟ้อที่รุนแรง เนื่องจากเศรษฐกิจของหลายประเทศจะกลับมาฟื้นตัวจากภาวะตกต่ำเพราะพิษโควิด-19

บัฟเฟตต์อธิบายเรื่องอัตราเงินเฟ้อได้อย่างเห็นภาพ โดยยกตัวอย่างว่าสินค้าในสหรัฐฯ กำลังขึ้นราคา และการขึ้นราคานั้นก็จะได้รับการยอมรับแต่โดยดี ตรงนี้มีการจุดประเด็นเรื่องต้นทุนเหล็กที่สูงขึ้นมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในธุรกิจที่อยู่อาศัยและเฟอร์นิเจอร์ของ Berkshire ด้วย

บัฟเฟตต์เชื่อว่าคนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จะมีเงินในกระเป๋า และบางคนจะยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการซื้อที่บ้าคลั่ง นำไปสู่ภาพรวมเศรษฐกิจที่กำลังจะร้อนแรงในช่วงหลังวัคซีน

สำคัญคือหลากหลายและไม่หวังมาก

บทเรียนหลักที่บัฟเฟตต์บอกต่อนักลงทุนรายใหม่ คือการเปลี่ยนแปลงของหุ้นตัวท็อปแต่ละตัวเมื่อเวลาผ่านไป นี่จึงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีหน่วยลงทุนหรือพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายและมีโอกาสเจ็บตัวน้อย เช่น การลงทุนผ่านกองทุนดัชนีหรือ passive index fund

passive fund คือกองทุนรวมที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้เท่าดัชนีในตลาด ไม่ต้องได้ผลตอบแทนโดดเด่นเหมือน active fund ซึ่งปู่บัฟเฟตต์ย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลก จะเป็นสถานการณ์ที่แสดงให้เห็นโดยบังเอิญว่า กองทุนดัชนีเป็นทางออกที่สำคัญ และสิ่งที่นักลงทุนหน้าใหม่ต้องทำคือขึ้นเรือให้ทันก่อนเรือจะออก

ในการประชุมครั้งนี้ Berkshire Hathaway บริษัทโบรกเกอร์ลงทุนรายย่อยได้รายงานจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นการระบาดของโรค Covid-19 โดยกลุ่มผู้ใช้เหล่านี้จำนวนมากเป็นนักลงทุนครั้งแรก เบื้องต้นคาดว่าการเพิ่มขึ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ส่วนบุคคลในสหรัฐอเมริกา และการที่ผู้คนเบื่อเหงา ขาดตัวเลือกความบันเทิงในช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้านเพื่อยับยั้งการระบาด

ไม่เพียง Berkshire Hathaway แต่กระแสนักลงทุนหน้าใหม่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปีนี้ ท่ามกลางกระแสการซื้อขายหุ้นบริษัทสหรัฐฯ อย่าง GameStop และแอป Robinhood ที่ทำให้มีการซื้อขายหุ้นผ่านผู้ใช้มากกว่า 5.7 ล้านรายในช่วง 2 เดือนแรกของปี นอกจากนี้ Charles Schwab บริษัทโบรกเกอร์อิเล็กทรอนิกส์ยังเผยว่าได้เพิ่มบัญชีในไตรมาสแรกของปี 2021 ในจำนวนที่มากกว่ายอดรวมในปี 2020 ทั้งหมด

ที่สุดแล้ว บัฟเฟตต์เอ่ยปากเตือนนักลงทุนว่าการระบุตัวผู้ชนะของโลกอุตสาหกรรมใหม่ยังเป็นเรื่องยากในวันนี้ รวมถึงอีกหลายพื้นที่ธุรกิจที่กำลังเติบโต โดยยกตัวอย่างบริษัทจำนวนมากที่ผลิตรถยนต์ในช่วงต้นทศวรรษ 1900 ซึ่งวันนี้ส่วนใหญ่ปิดตัวลงหรือเลิกทำธุรกิจรถยนต์ไปก่อนเวลาอันควร

การเลือกหุ้น ยังมีอีกหลายแง่มุมที่ต้องดู ไม่ใช่แค่การหาว่าอะไรจะเป็นอุตสาหกรรมที่ยอดเยี่ยมในอนาคต ปู่บัฟเฟตต์กล่าวทิ้งท้าย.

ที่มา