Facebook ประกาศว่าจะแบนบัญชีของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยาวจนถึง 7 มกราคม 2023 เป็นอย่างน้อย หรือเป็นเวลาถึง 2 ปีนับจากที่บัญชีได้ถูกระงับในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก่อนจะประเมินสถานการณ์อีกครั้งเพื่อดูว่าควรได้รับอนุญาตให้กลับมาหรือไม่
ย้อนไปเมื่อเดือนวันที่ 7 มกราคมได้เกิดเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้ Facebook ต้องออกมาระงับการใช้งานบัญชีของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่มีผู้ติดตามกว่า 10 ล้านคนเป็นการชั่วคราว เนื่องจากทรัมป์ได้ส่งข้อความให้ผู้ประท้วงออกมาต่อต้านการลงมติรับรองชัยชนะของ ‘โจ ไบเดน’ ในสภาคองเกรส
‘Facebook’ ประกาศ ‘แบน’ บัญชีทรัมป์ จนกว่าไบเดนจะรับตำแหน่ง ป้องกันการปลุกปั่น
แต่ดูเหมือนคำว่าชั่วคราวจะนานกว่าที่คิด เพราะเพื่อป้องกันช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 โดยจะแบนบัญชีของทรัมป์ยาว ๆ จนถึงมกราคมปี 2023 อย่างไรก็ตาม จากระยะเวลาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่การแบนอาจถูกยกเลิกก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024
Nick Clegg รองประธานฝ่ายกิจการระดับโลกของบริษัท กล่าวว่า เมื่อครบสองปี Facebook จะมองหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินว่าความเสี่ยงต่อความปลอดภัยสาธารณะของทรัมป์ว่าลดลงหรือไม่ เราจะประเมินปัจจัยภายนอกรวมถึงกรณีต่าง ๆ ทั้งความรุนแรง ข้อจำกัดในการชุมนุมโดยสงบ และสัญญาณบ่งชี้ความไม่สงบอื่น ๆ หากเราพิจารณาว่ายังคงมีความเสี่ยงร้ายแรงต่อความปลอดภัยสาธารณะ เราจะขยายข้อจำกัดดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่งและประเมินใหม่ต่อไปจนกว่าความเสี่ยงนั้นจะลดลง
Clegg ยังประกาศกฎใหม่สำหรับ “โปรโตคอลการบังคับใช้ที่จะใช้ในกรณีพิเศษเช่นนี้” เนื่องจากที่ผ่านมา นักการเมืองมักได้รับการผ่อนปรนจาก Facebook เนื่องจากบริษัทดำเนินการบนสมมติฐานว่าโพสต์ของพวกเขามีคุณค่าในการบอกใบ้เรื่องข่าวและเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์ปกติในการขัดกรองโพสต์ แต่ตอนนี้ Facebook จะไม่ถือว่าข่าวสำหรับโพสต์ของผู้นำโลกอีกต่อไป
“เมื่อเราประเมินเนื้อหาสำหรับความเหมาะสมในการเป็นข่าว เราจะไม่ปฏิบัติต่อเนื้อหาที่โพสต์โดยนักการเมืองต่างไปจากเนื้อหาที่โพสต์โดยบุคคลอื่น และจากนี้นักการเมืองหรือบุคคลสาธารณะที่ละเมิดกฎด้วยการปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบหรือความรุนแรงนั้นจะถูกระงับการใช้งานบัญชีเป็นเวลา 1 เดือน หรือมากกว่านั้นในกรณีร้ายแรง สูงสุดถึง 2 ปี” Clegg เขียนไว้ในโพสต์
บริษัทยังกล่าวอีกว่ามีแผนจะพัฒนาคู่มือสำหรับวิกฤตการณ์พิเศษที่จะเปิดใช้งานในยามฉุกเฉินหรือในสถานการณ์ใหม่ๆ ซึ่งนโยบายที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น หรือที่เรียกว่า Crisis Policy Protocol จะช่วยให้บริษัทตัดสินใจได้ว่าเมื่อใดควรใช้นโยบายเฉพาะบริบทที่มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น