‘เทนเซ็นต์ คลาวด์’ กับ ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่ 2 ในไทย ก้าวสำคัญภารกิจปั้นไทยสู่ดิจิทัลฮับอาเซียน


ธุรกิจคลาวด์ เติบโตไม่หยุดในยุคเเห่งข้อมูล เป็น ‘เมกะเทรนด์’ ที่เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค เมื่อทุกระบบต้องเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็ว องค์กรต่างๆ จึงต้องปรับตัวให้ก้าวทัน สรรหาโซลูชั่นจัดการข้อมูลที่มีอยู่มากมายมหาศาล เเละมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

จากข้อมูลของ Frost & Sullivan พบว่าในปี 2563 กว่า 52% ขององค์กรทั่วโลกใช้บริการคลาวด์ และอีก 34% มีแนวโน้มจะเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ภายในสองปีข้างหน้า

ด้านข้อมูลล่าสุดจาก Gartner คาดว่าจะมีการใช้จ่ายด้านบริการคลาวด์สาธารณะของผู้ใช้งานทั่วโลก เพิ่มขึ้น 23.1% ในปี 2564 เป็น 332.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 270 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ    ในปี 2563

ข้อมูลเหล่านี้เเสดงให้เห็นถึงการ ‘ขยายตัว’ ของอุตสาหกรรมคลาวด์ ยิ่งในช่วงวิกฤตโรคระบาดที่ผู้คนขยับมาอยู่บนเเพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ทั้งการทำงานเเละเรียนทางไกล ค้าขายอีคอมเมิร์ซ เก็บข้อมูลเเละติดต่อสื่อสารต่างๆ

สำหรับประเทศไทย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ก็มีความต้องการด้านโซลูชันคลาวด์อัจฉริยะขององค์กรต่างๆ ‘เพิ่มสูงขึ้น’ จากปัจจัยการเติบโตของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital economy) อย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน


‘เทนเซ็นต์’ จับเทรนด์โลก ทุ่มบุกตลาด ‘คลาวด์’

เเบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง ‘เทนเซ็นต์’ (Tencent) เป็นอีกหนึ่งบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่ขยายมายังธุรกิจนี้กับบทบาทการเป็นผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการคลาวด์ระดับเวิลด์คลาส รองรับความต้องการเเละการใช้จ่ายผ่านคลาวด์ที่กำลังเติบโตทั่วโลกในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ภาคการผลิต (Manufacturing)    ค้าปลีก สุขภาพ สื่อและบันเทิง ฯลฯ

โดยล่าสุดเทนเซ็นต์ คลาวด์ (Tencent Cloud) กลุ่มธุรกิจคลาวด์ภายใต้เทนเซ็นต์ เพิ่งประกาศ เปิดตัวศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต (Internet Data Center) แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ แฟรงก์เฟิร์ต และโตเกียว ซึ่งเป็นพื้นที่ให้บริการโซนที่สอง (Second availability zone -AZ2) และในฮ่องกง ซึ่งเป็นพื้นที่ให้บริการโซนที่สาม (Third availability zone – AZ3)

ก่อนหน้านี้ ในช่วงปลายปี 2563  เทนเซ็นต์ คลาวด์ ได้เปิดพื้นที่ให้บริการโซนที่สองในเกาหลีใต้ ตามด้วยการเปิดตัวศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตแห่งแรกในอินโดนีเซีย และพื้นที่ให้บริการโซนที่สามในสิงคโปร์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาพร้อมมีกำหนดจะเปิดตัวศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตแห่งที่สองในอินโดนีเซีย และแห่งแรกในบาห์เรนภายในสิ้นปีนี้

นับเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ใหม่เเละทิศทางขยายการลงทุนในต่างประเทศของธุรกิจเทคโนโลยี

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การเปิดตัวศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตแห่งใหม่ ทั้งกรุงเทพฯ แฟรงก์เฟิร์ต ฮ่องกง และโตเกียว ‘ในช่วงเวลาเดียวกัน’ ก็สื่อถึงก้าวสำคัญในการสร้างการเติบโตด้านโครงสร้างพื้นฐาน     ระดับโลกของเทนเซ็นต์ คลาวด์ด้วย

โดยการเพิ่มศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตเหล่านี้ จะทำให้เทนเซ็นต์ คลาวด์ สามารถให้บริการได้ถึง 27 ภูมิภาค และ 66 พื้นที่ให้บริการทั่วโลก ถือเป็นการ ‘เพิ่มศักยภาพ’ เพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่องได้อย่างน่าสนใจ


ปั้นดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ในไทย สู่ดิจิทัลฮับอาเซียน

 “เทนเซ็นต์ คลาวด์ เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย เเละพร้อมผลักดันให้เป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต”

มร.ชาง ฟู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวถึง          เป้าหมายสำคัญของการเปิดศูนย์บริการแห่งที่สองในไทย พร้อมความตั้งใจจะช่วยเหลือและส่งเสริมธุรกิจ     ในทุกอุตสาหกรรม ให้องค์กรต่างๆ สามารถปรับใช้ระบบปฏิบัติการคลาวด์ได้รวดเร็ว มีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ทันสมัยยิ่งขึ้นเเละสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตในไทยแห่งที่สองของเทนเซ็นต์ คลาวด์นั้น เป็นศูนย์ข้อมูลระดับ Tier 3     มีเทคโนโลยีที่สามารถรองรับการให้บริการได้อย่างเต็มที่ มาพร้อมกับกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลเส้นทางระหว่างเกทเวย์ (Border Gateway Protocol: BGP) ที่มีความน่าเชื่อถือและคุณภาพสูง   ทำงานร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ


จุดเด่นของดาต้าเซ็นเตอร์ เเห่งที่ 2 ในไทย มีอะไรบ้าง ?

เจาะลึกลงไปถึงการทำงานศูนย์ข้อมูลแห่งที่สองของเทนเซ็นต์ คลาวด์ ในประเทศไทย พบว่ามี ‘จุดเด่น’      ใน 3 ด้านหลักๆ ได้เเก่

  • ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน (Server)

โดยโครงสร้างพื้นฐานที่นำมาติดตั้งที่ศูนย์ข้อมูลแห่งที่สองของไทยนั้นเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งมีการเพิ่มเทคโนโลยีเพื่อเสริมศักยภาพของบริการคลาวด์ สามารถรองรับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence)    ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“เมื่อ AI มีการคำนวณที่ต้องใช้สเปคที่สูงขึ้น เทคโนโลยีใหม่นี้จะสามารถทำให้การทำงานดีขึ้น รวดเร็วขึ้น และประหยัดพลังงาน”

  • การทำงานของ Graphics Processing Unit (GPU)

ช่วยเพิ่มศักยภาพในการประมวลผลต่างๆให้สามารถประมวลผลได้เร็วขึ้น และรองรับการทำ parallel computing ด้วย Bare Metal Service หรือ Cloud Physical Server ที่สร้างความยืดหยุ่นในการใช้งาน ซึ่งโดยปกตินั้น Cloud virtual machine จะสามารถรองรับการใช้งานได้แค่ window หรือ ลีนุกซ์ เท่านั้น แต่ Bare Metal Service ในศูนย์ข้อมูลแห่งที่สองของไทย สามารถรองรับระบบปฎิบัติการ (Operation system) อื่นๆ ได้ โดยขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งาน

  • รองรับการให้บริการโซลูชันอัจฉริยะต่างๆ จากเทนเซ็นต์ คลาวด์

เนื่องจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ทำให้ศูนย์ข้อมูลในไทยแห่งที่สองของเทนเซ็นต์ คลาวด์นั้น สามารถรองรับ Smart solution ได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมการทำงานได้อย่างรวดเร็ว อาทิ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) Internet of Things (IoT) ระบบการจดจำใบหน้า (Facial Recognition) เทคโนโลยีการจดจำตัวอักษร หรือ Optical Character Recognition (OCR) บริการถ่ายทอดวิดีโอไลฟ์ (LVB) เป็นบริการสำหรับการถ่ายทอดไฟล์วิดีโอ/ไฟล์เสียงไลฟ์แบบต่อเนื่อง เป็นต้น

เมื่อตลาดโตเร็ว ย่อมมีคู่เเข่งเยอะตามไปด้วย ท่ามกลางตลาดธุรกิจคลาวด์อันดุเดือดนี้

นอกจากเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานของระบบปฏิบัติการคลาวด์ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มี   ความแข็งแกร่ง และครอบคลุมทั่วโลกแล้ว ‘เทนเซ็นต์ คลาวด์’ ยังมีจุดเเข็งด้านความเชี่ยวชาญและความเข้าใจเชิงลึกในด้านการให้บริการด้วยแพลตฟอร์มขนาดใหญ่จากบริษัทแม่ที่มีผู้ใช้งานกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก     รวมไปถึงเรื่องความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูง

นอกจากนี้ ยังสามารถนำเสนอโซลูชันระบบคลาวด์ที่มีความยืดหยุ่น ครอบคลุมความต้องการของแต่ละธุรกิจ ด้วยเครือข่ายที่ปลอดภัยเเละหลากหลาย

พร้อมมีทีมสนับสนุนในประเทศไทย ที่สามารถให้บริการและคำปรึกษากับลูกค้าคนไทย เพื่อตอบสนอง     ความต้องการของผู้ใช้งานในประเทศ และมีศูนย์จัดเก็บข้อมูล (Data Center) ที่ตั้งอยู่ในประเทศ          เพื่อให้การถ่ายโอนข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย

นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ ‘เทนเซ็นต์ คลาวด์’ ที่จะเข้ามาเสริมเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน รับการเติบโตของ ‘สมาร์ทโซลูชัน’ ภาคธุรกิจไทย พร้อมยกระดับและผลักดันศักยภาพของประเทศไทย     ให้เป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียนในอนาคตข้างหน้า…น่าจับตามองยิ่ง  

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อ Tencent Cloud ได้ ที่นี่ หรือโทร +662-833-3000