เปิดเส้นทาง “มาชิตะ” กับกลยุทธ์ Partnership Marketing จับ “สาหร่าย” คู่ร้านอาหารอย่างลงตัว!


หากพูดถึงตลาดสาหร่ายในประเทศไทย หลายๆ แบรนด์มักเดินเกมด้วยการสื่อถึงสไตล์ “เกาหลี” มาโดยตลอด เพราะเป็นประเทศที่โด่งดังเรื่องสาหร่ายเป็นอันดับต้นๆ และมีกรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัย มีวัฒนธรรมการทานสาหร่ายที่แข็งแกร่ง

โดยที่แบรนด์ “มาชิตะ” ก็มีการสร้างแบรนด์ด้วยสไตล์เกาหลีมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินเกมสร้างความต่างจากคู่แข่ง โดยทุกสินค้าเป็นสูตร 0% ผงชูรส (No Msg) โดยนำเข้าสาหร่ายคุณภาพพรีเมี่ยม จากประเทศเกาหลี 100% อีกทั้งยังเป็นเจ้าแรกที่พ่วงกลยุทธ์ Partnership Marketing ยิ่งตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์มากขึ้นไปอีก

ฉีกกรอบตลาด สร้างความต่างด้วย Partnership Marketing

มาชิตะเป็นแบรนด์สาหร่ายภายใต้เครือ “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” จนถึงวันนี้ได้ทำตลาดมานับ 10 ปี แรกเริ่มนั้นมาชิตะก็ใช้กลยุทธ์ “โอปป้า มาร์เก็ตติ้ง” โดยเป็นแบรนด์สาหร่ายรายแรกของไทยที่มีการนำพรีเซ็นเตอร์เกาหลีมาใช้เป็นกลยุทธ์การทำตลาด เพื่อสร้างการรับรู้อย่างรวดเร็ว และจับกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น

ตั้งแต่เปิดตัวแบรนด์มาชิตะได้เริ่มใช้ “คยูฮยอน” น้องเล็กแห่งวงในตำนานอย่างซูเปอร์ จูเนียร์ โดยคยูฮยอนอยู่ในครอบครัวมาชิตะถึง 5 ปี ก่อนที่ในปี 2560 จะถูกเปลี่ยนมาเป็น 5 หนุ่มวง NCT วงน้องใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงขณะนั้น และตามมาด้วย “พัคจีฮุน” อดีตสมาชิกบอยแบนด์ “วอนนาวัน (WANNA ONE)”

ต้องบอกว่าการทำตลาดของสินค้าในพอร์ตของสิงห์ กลยุทธ์ที่สำคัญนอกเหนือจากการใส่ใจเรื่องคุณภาพของสินค้าแล้วก็คือการ “สร้างความแตกต่าง” ของสินค้าหรือแบรนด์ ให้โดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่ง โดยได้มีการศึกษาและติดตามเทรนด์ผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้

มาชิตะเองก็เช่นกัน แม้จะเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จด้วยโอปป้า มาร์เก็ตติ้งอย่างมาก แต่ก็ไม่ลืมที่จะสร้างความแตกต่างจากแบรนด์อื่นในตลาด ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มาชิตะได้หันมาทำการตลาดแนวใหม่ เดินเกม Partnership Marketing ซึ่งถือเป็นแบรนด์แรกๆที่หันมาเล่นกลยุทธ์นี้ ย้ำภาพสาหร่ายไม่ใช่แค่สแน็คที่ต้องอยู่บนชั้นขนมอย่างเดียวเท่านั้น แต่สามารถนำรสชาติที่ได้รับความนิยมในร้านอาหารชื่อดังต่างๆมาอยู่ในซองสาหร่ายมาชิตะได้ ทำให้แบรนด์มีความโดดเด่น สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และวางจุดยืน สร้างความยั่งยืนให้กับแบรนด์ได้อย่างดี

มาชิตะได้ประเดิมกลยุทธ์นี้ตั้งแต่ปี 2561 ด้วยการจับมือกับ “บาร์บีคิวพลาซ่า” แบรนด์ปิ้งย่างชื่อดัง ส่งสาหร่ายทะเลทอดกรอบ “เบคอนย่างซอสบาร์บีคิวพลาซ่า” จำหน่ายตามหน้าเชลฟ์ร้านค้าชั้นนำต่างๆ พร้อมต่อยอดการตลาดจากเชลฟ์สแน็ค สู่โปรโมชั่นในร้านอาหารบาร์บีคิวพลาซ่ากับชุดเครื่องเคียงเกาหลี พร้อมสาหร่ายจากมาชิตะในชุด

ที่ผ่านมามาชิตะได้เปิดตัวรสชาติใหม่ๆ อยู่เสมอทั้งรสออริจินัล รสสไปซี่ รสบาร์บีคิว รสลาบ หรือรสต้มยำ แต่การร่วมมือกับบาร์บีคิวพลาซ่า ถือเป็นการปฏิวัติวงการขนม และร้านอาหาร ในการจับมือร่วมกันของ 2 อุตสาหกรรม สร้างความต่างจากตลาด โดยดึงเอกลักษณ์คือ “น้ำจิ้ม” สูตรเฉพาะของบาร์บีคิวพลาซ่ามาผสานกับสาหร่ายทะเลทอดกรอบจนได้เป็น“รสเบคอนย่างซอสบาร์บีคิวพลาซ่า” เปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคเกิดการทดลองชิมสินค้า

จากนั้นมาชิตะได้ตอกย้ำกลยุทธ์ Partnership Marketing อย่างต่อเนื่อง ในแคมเปญ “มาชิตะ x ร้านดัง อร่อยปัง ยกกำลังสอง” ประเดิมโปรเจ็กต์แรกควงแบรนด์ไก่ทอดเกาหลีชื่อดังอย่าง “บอนชอน ชิคเก้น” (BonChon Chicken) นำเมนู Signature ยอดนิยมของร้านอย่าง “ไก่ทอดซอยการ์ลิค” ลงซองสาหร่าย ในครั้งนี้มาชิตะได้บุกตลาดสาหร่ายอบ

เมื่อปี 2563 มาชิตะก็ได้ผนึกกำลังกับ “ซูกิชิ” (Sukishi) ร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลีชื่อดัง เปิดตัวรสชาติใหม่ “รสซี่โครงย่าง หมักซอสเกาหลี” เมนู Signature ยอดนิยมของร้าน

และเมื่อต้นปี 2564 ที่ผ่านมานี้เอง มาชิตะได้จับมือกับ “ฮะจิบัง ราเมน” ร้านราเมนสัญชาติญี่ปุ่นชื่อดัง ได้เปิดตัวสาหร่ายอบรสชาติใหม่ “รสราเมนเย็น” ดึงเมนู Signature ยอดนิยมของร้าน เดินหน้ารักษาบังลังก์แชมป์ตลาดสาหร่ายอบ

ไขว้ฐานลูกค้าของทั้ง 2 แบรนด์

ต้องบอกว่าการเลือกร้านอาหารที่จะมาร่วม Collaboration ของมาชิตะนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะ ต้องใส่ใจและมีความพิถีพิถัน ทุกพาร์ทเนอร์ที่ร่วมมือกัน ล้วนแต่เป็นร้านอาหารที่มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับและไว้วางใจของผู้บริโภค ที่สำคัญคือรสชาติต้องอร่อย ซึ่งถือเป็นการผนึกจุดแข็งของทั้งคู่ได้อย่างลงตัว ด้วยการดึงเอาเมนูเด่น เมนูดังของร้าน ผสานเข้ากับสาหร่ายคุณภาพพรีเมี่ยม จากเกาหลี 100% เกิดเป็นรสชาติที่แปลกใหม่

นอกจากนี้ยังมีความสำคัญทั้งเรื่องการขยายช่องทางการขาย และการขยายฐานลูกค้าของกันและกันอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสินค้าขนมขบเคี้ยว ช่องทางการขายส่วนใหญ่จะอยู่ที่เชลฟ์วางสินค้าตามร้านค้าต่างๆ ทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำ รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ

แต่การเป็นพาร์ทเนอร์กับร้านอาหาร ยังสามารถขยายช่องทางการขายไปยังหน้าร้านอาหารต่างๆ ได้อีก เป็นการเสริมช่องทางการขายได้มากขึ้น

อีกทั้งยังเป็นการขยายฐานสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เรียกว่าเป็นการไขว้ฐานลูกค้ากัน ลูกค้าที่เป็นแฟนๆ ร้านอาหาร ก็ได้ทดลองชิมมาชิตะ ส่วนลูกค้ามาชิตะก็ได้ลิ้มรสเมนูเด็ดของร้านอาหาร โดยที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ ล้วนมีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ และกลุ่มครอบครัว จะช่วยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มเหล่านี้มากขึ้น

ผู้นำสร้างสีสันให้ตลาด

ถ้าพูดถึงในบรรดาตลาดขนมขบเคี้ยว รวมถึงตลาดสาหร่ายเองนั้น ปกติแล้วส่วนใหญ่จะมีความเคลื่อนไหวหลักแค่เพียงการออกรสชาติใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค และสร้างสีสันให้ตลาด

แต่การ Partnership Marketing ของมาชิตะนั้น เรียกว่าเป็นผู้นำในการสร้างสีสันใหม่ๆ ที่แตกต่างอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดขนมขบเคี้ยว รวมถึงตลาดร้านอาหารด้วย เรียกว่าตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ครบทุกกลุ่มตั้งแต่วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ไปจนถึงวัยทำงาน ทำให้เกิดการลองของใหม่อย่างต่อเนื่อง

เรียกว่าเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่กระตุ้นการเติบโตให้ตลาดอีกด้วย เพราะตลาดล้วนเติบโตตามนวัตกรรม และสินค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ และส่วนใหญ่การจับมือของมาชิตะกับร้านอาหารนั้น จะเป็นรสชาติชั่วคราว ที่วางจำหน่ายเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น เพื่อสร้างสีสัน และเป็นรสชาติพิเศษ ยิ่งสร้างความ Exclusive ให้ผู้บริโภคด้วย

ยุคนี้ต้องเฮลท์ตี้

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้มาชิตะเป็นแบรนด์ที่แตกต่างเหนือคู่แข่งรายอื่นในตลาด เป็นแบรนด์ที่ตอกย้ำเรื่องคุณภาพ ชูจุดเด่นเรื่อง “สุขภาพ” มาโดยตลอด โดยที่เป็นแบรนด์เดียวในตลาดสาหร่ายที่ทุกสินค้าเป็นสูตร 0% ผงชูรส (No Msg) ใช้สาหร่ายคุณภาพพรีเมี่ยม จากประเทศเกาหลี 100%

ที่ผ่านมาตลาดสาหร่ายได้รับอานิสงส์จากเทรนด์การดูแลสุขภาพอยู่แล้ว เพราะผู้บริโภคมีความเชื่อว่า การกินสาหร่ายดีต่อสุขภาพ ไม่ทำให้อ้วนเมื่อเทียบกับการกินขนมชนิดอื่น และสาหร่ายเองก็มีหลายสูตรทั้งทอด ย่าง อบ ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามใจชอบ

แต่ผู้บริโภคอาจจะกังวลเรื่องเครื่องปรุง ความเค็ม หรือแม้แต่การทอด มาชิตะจึงนำ Pain Point เหล่านั้นมาพัฒนาสินค้า ยกเครื่องสูตรใหม่ชู “0% ผงชูรส” ในสินค้าทุกชนิด และชูสินค้า “สาหร่ายอบ” เป็นโปรดักส์ ฮีโร่ในการสร้างการเติบโต และทำตลาดแก่ผู้บริโภค ทำให้ปัจจุบันมาชิตะสามารถเป็นผู้นำในเซ็กเมนต์สาหร่ายอบด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึง 39%

ด้านภาพรวมตลาดขนมขบเคี้ยวสาหร่ายมีมูลค่าประมาณ 2,101 ล้านบาท แม้มูลค่าตลาดจะลดลงเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่แบรนด์สาหร่ายมาชิตะ ยังคงมีการเติบโต ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดปี 2563 อยู่ที่ 18.3% โดยเฉพาะสาหร่ายประเภทอบ แม้ตลาดรวมจะติดลบ 19.2% แต่มาชิตะเติบโตถึง 6% มีส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 31.5%

จะเห็นได้ว่าเส้นทางของมาชิตะกับการใช้สูตรเด็ด Partnership Marketing ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้แบรนด์ ทั้งสร้างความแตกต่างให้เหนือคู่แข่ง อีกทั้งยังช่วยสร้างสีสันให้ตลาดได้อย่างดี สุดท้ายยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ด้วย นับว่าเป็นสูตรสำเร็จในการจับคู่สาหร่ายกับร้านอาหารได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว!