“ฉลากดูสะอาดตา ทันสมัย ฉีกจากรูปแบบเดิมๆ ที่ไม่มีรูปปราสาทเก่าแก่ แต่มันเป็นรูปเค้ก ของขวดไวน์ Layer Cake Primitivo“คือเหตุผลการตัดสินใจซื้อไวน์ของคนยุคใหม่ในกลุ่มมิลเลนเนียมที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดช่วงปี 1980-2000
ฉลากบนขวดที่สะดุดตาพวกเขาจะทำให้โอกาสในการขายได้มีมากขึ้น เพราะไวน์จะเข้าไปอยู่ในร้านสะดวกมากขึ้น ตามพฤติกรรมกลุ่มมิลเลนเนียมที่ซื้อไวน์ที่ไหนก็ได้ โดยเฉพาะจากร้านสะดวกซื้อที่พวกเขาคุ้นเคย และที่สำคัญกลุ่มนี้ยังเริ่มดื่มไวน์เร็วกว่ารุ่นพี่อย่างเจนเนอเรชั่น X อีกด้วย โอกาสทางการตลาดคือจำนวน 20 ล้านคนใน 70 ล้านคนกำลังจะมีอายุ 21 ปีในปีนี้ และเริ่มชอบการดื่มไวน์
อย่างร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ได้เน้นกลุ่มมิลเลนเนียลมานาน และล่าสุดเพิ่งเปิดตัวไวน์แบรนด์ ”Cherrywood Cellars” ราคา 7.99-8.99 เหรียญสหรัฐ สำหรับกลุ่มนี้โดยเฉพาะที่ผู้บริหารเซเว่นฯบอกว่ากลุ่มนี้ไม่ใช่แค่ชอบความสะดวกและยังพร้อมลองสินค้าใหม่ๆ อีกด้วย
ตลาดไวน์เคยรุ่งเรืองในปี 1980 เมื่อกลุ่มเบบี้ บูมเมอร์โต แต่ยอดขายไวน์ก็เติบโตน้อยลงเมื่อรุ่นต่อมาคือเจนฯ X ลังเลที่จะถือแก้วไวน์ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 และต่อไปทิศทางของไวน์จะเริ่มเข้ามาแย่งตลาดเบียร์ในกลุ่มมิลเลนเนียม ที่ปัจจุบันเลือกดื่มเบียร์ 42% ไวน์อยู่แค่ 24% แต่ไปจะเลือกดื่มไวน์ 26%และดื่มเบียร์ 38%
การทำตลาดของไวน์เริ่มมีการตั้งแผนกเพื่อเซ็กเมนต์มิลเลนเนียม มีการใช้โซเชี่ยลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก เพราะกลุ่มนี้ไม่อายที่จะขอคำแนะนำเกี่ยวกับไวน์จากเพื่อน อย่างฟรานเซีย ของเดอะไวน์กรุ๊ป ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Cupcake Vineyards ที่เป็นไวน์หน้าใหม่ให้รสชาติตามเทรนด์ของ Cubcake ที่มีรสดีจากไร่องุ่นชั้นดี นุ่มติดลิ้น จนมียอดขายเพิ่มขึ้น 250% ใน 1 เดือน
บทสรุปของเรื่องนี้คือรู้ว่าลูกค้าเป็นใคร อยู่ที่ไหน รสนิยมแบบไหน แพ็กเกจที่โดน และราคาที่ใช่ ความสำเร็จก็มาถึงได้ไม่ยาก