นายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน ได้มีแผนปลดล็อกดาวน์ประเทศเพื่อฟื้นเศรษฐกิจในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ แม้ยอดผู้ติดเชื้อยังสูงถึง 27,000 คนต่อวัน แต่อังกฤษต้องการจะเปลี่ยนให้ประชาชนอังกฤษหันมาอยู่ร่วมกับ COVID-19 แทนตั้งเป้ากำจัด
แม้ว่าแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์จะบ่งชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในอังกฤษจะเพิ่มขึ้นหลังการคลายล็อกดาวน์ขั้นสุดท้ายลง แต่รัฐบาลอังกฤษก็เชื่อว่ายอดผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตจะลดลงเนื่องจากการฉีดวัคซีนเป็นวงกว้างแก่ประชาชน
จากมาตรการดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกว่า 1,200 คน วิพากษ์วิจารณ์แผนการของรัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะคลายทุกข้อจำกัด รวมถึง การเว้นระยะห่างทางสังคม และ การสวมหน้ากาก ซึ่งอาจจะเป็น อันตรายต่อคนทั้งโลก
Christina Pagel ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยปฏิบัติการทางคลินิกของ UCL ของลอนดอน กล่าวเตือนว่า การปลดล็อกมาตรการล็อกดาวน์นั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเกิด เชื้อโควิดรูปแบบใหม่ ในช่วงหน้าร้อนนี้
“อาจเกิดการกลายพันธุ์ที่ทำให้เชื้อสามารถแพร่สู่คนที่ได้รับวัคซีนได้ดีขึ้น และด้วยตำแหน่งของประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเดินทางทั่วโลก ดังนั้น มีโอกาสที่เชื้อจะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก อย่างที่ผ่านมา สายพันธุ์อัลฟ่าก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน รวมไปถึงการกระจายเชื้อเดลตาที่เพิ่มขึ้นในยุโรปและอเมริกาเหนือ ดังนั้น นโยบายของสหราชอาณาจักรไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อคนในประเทศ แต่ยังส่งผลกระทบต่อทุกคน”
Michael Baker ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขและสมาชิกกลุ่มที่ปรึกษาของกระทรวงสาธารณสุขนิวซีแลนด์ กล่าวว่า เขา ประหลาดใจ กับแผนการของรัฐบาลอังกฤษที่จะยกเลิกข้อจำกัดเกือบทั้งหมดในวันจันทร์ที่จะถึง และมองว่าการที่รัฐบาลจะฉีดวัคซีนได้จำนวนมากจนเกิด ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ แต่มันก็จะยังไม่สมบูรณ์
ด้าน William Haseltine นักไวรัสวิทยาและประธานของ ACCESS Health International กล่าวว่า กลยุทธ์การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ตามธรรมชาติผ่านการเจ็บป่วยหรือการสัมผัสกับมันเป็น การฆาตกรรม และวัคซีนเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถยุติการแพร่ระบาดได้ ขณะที่ Jose M Martin-Moreno ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขที่มหาวิทยาลัยวาเลนเซียในสเปน เตือนว่าประเทศอื่น ๆ อาจเริ่ม เลียนแบบ นโยบายของอังกฤษได้ ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบ
ในขณะเดียวกัน Shu-Ti Chiou ผู้ก่อตั้งประธานมูลนิธิสุขภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนของไต้หวันแสดงความกังวลว่า กลุ่มเด็กที่ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ พวกเขาอาจจะถูก ทิ้งไว้ข้างหลัง เนื่องจากมีโควิดระยะยาวที่แพร่หลายมากในหมู่คนหนุ่มสาว และแม้แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วก็ยังรู้สึกถึงผลกระทบของอัตราการแพร่เชื้อที่สูง
Meir Rubin ทนายความที่ให้คำแนะนำรัฐบาลอิสราเอลเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงเตือนว่า มากกว่า 80% ของประชากรทั้งหมดของอิสราเอลได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech อย่างครบถ้วน แต่ยังคงมี การระบาดใหญ่ เนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์เดลตา นอกจากนี้ อิสราเอลยังพบผู้ป่วยหนักและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แม้กระทั่งในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดส ดังนั้น
“แม้ว่าคุณจะได้รับวัคซีนครบแล้ว คุณต้องปฏิบัติตามความพยายามอย่างจริงจังและควบคุมเพื่อพยายามกำจัด ไม่ใช่แค่บรรเทาปัญหา นโยบายที่เปิดประเทศท่ามกลางกระแสการติดเชื้อที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ อาจมีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงที่สุด”