ในปี 2019 อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาว่า ‘หัวเว่ย’ (Huawei) เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ พร้อมกับขึ้นบัญชีดำการส่งออกและห้ามไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีที่สำคัญที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการออกแบบชิปของตัวเอง รวมถึงการซื้อชิ้นส่วนจากผู้ผลิตภายนอก
จากการถูกขึ้นบัญชีดำของสหรัฐฯ ทำให้รายได้จากฝั่งคอนซูมเมอร์ของหัวเว่ยลดลง 29% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งถือว่าลดลงมากที่สุด จากที่ในปี 2563 หัวเว่ยเคยขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟน แต่หลังจากนั้นก็หลุดจาก 5 อันดับแรก โดย Guo Ping ประธานของหัวเว่ย กล่าวว่า บริษัทจะไม่ยอมแพ้และวางแผนที่จะกลับมาทวง ‘บัลลังก์’ ในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน แม้ว่าบริษัทจะยังคงได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ก็ตาม
ที่ผ่านมา ปัญหาใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของหัวเว่ยหลังจากถูกสหรัฐฯ แบนคือ ผู้ผลิตชิปในจีนไม่มีความสามารถในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัยที่บริษัทต้องการ ดังนั้น หัวเว่ยจะร่วมกับพันธมิตรเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อหัวเว่ยในอนาคต
“ทุกคนรู้ดีว่าชิปโทรศัพท์ต้องการเทคโนโลยีขั้นสูงในขนาดที่เล็กและใช้พลังงานต่ำ ซึ่งหัวเว่ยสามารถออกแบบได้ แต่ไม่มีใครช่วยเราได้ อย่างไรก็ตาม เราจะยังคงรักษากลุ่มสมาร์ทโฟน และด้วยความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการผลิตชิป บัลลังก์ของสมาร์ทโฟนจะกลับมาในที่สุด” Guo Ping ประธานของ Huawei กล่าว
ในเดือนพฤศจิกายน หัวเว่ยจำใจต้องขายแบรนด์ Honor ที่เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนจับตลาดล่างเพื่อรักษาธุรกิจให้อยู่รอด โดยหัวเว่ยได้เปลี่ยนโฟกัสไปยังธุรกิจอื่น ๆ เช่น ซอฟต์แวร์และคลาวด์คอมพิวติ้ง เนื่องจากธุรกิจสมาร์ทโฟนยังคงเผชิญกับอุปสรรค