Thursday, October 31, 2024
Home Strategic Move ออริจิ้น-JWD ร่วมทุนพา “แอลฟา” ตีตลาดคลังสินค้า-โลจิสติกส์ 1 ล้านตร.ม. ภายในปี 2568

ออริจิ้น-JWD ร่วมทุนพา “แอลฟา” ตีตลาดคลังสินค้า-โลจิสติกส์ 1 ล้านตร.ม. ภายในปี 2568

“ออริจิ้น” และJWD” เปิดตัวบริษัทร่วมทุน “แอลฟา” มุ่งเป้าตีตลาด “อสังหาฯ เพื่อการอุตสาหกรรม” เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม วางแผนภายในปี 2568 ขยายพื้นที่แตะ 1 ล้านตร.ม. ขึ้นเป็น Top 3 ของวงการ พร้อมต่อยอดฐานลูกค้าในเครือออริจิ้นกว่า 100 โครงการ สร้างระบบ “Self-Storage” ในเมือง ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่หันมาขายออนไลน์สูงขึ้น

หลังประกาศความร่วมมือกันไปตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ระหว่าง บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI และ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ในที่สุดทั้งคู่ได้ฤกษ์เปิดตัวบริษัทร่วมทุนในนาม “บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด” หรือ ALPHA โดยเป็นการร่วมทุนฝั่งละ 50%

เป้าหมายของแอลฟา ต้องการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม (Industrial Property) เป็นหลัก เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม โดยใช้ความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายเป็นฐานการขยายตัว

(จากซ้าย) “ปธาน สมบูรณสิน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชัน จำกัด, “พีระพงศ์ จรูญเอก” ซีอีโอ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ “ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)

ฝั่ง JWD เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดโลจิสติกส์มากว่า 40 ปี มีพื้นที่คลังสินค้าในมือ 1.8 ล้านตร.ม. ชำนาญพิเศษด้านคลังสินค้าเคมีภัณฑ์-วัตถุอันตรายและด้านห้องเย็น รวมถึงมีฐานการลงทุนร่วมกับพันธมิตรในเวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซียอยู่ในขณะนี้ ขณะที่ออริจิ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ดินและการก่อสร้าง จึงเลือกจะจับมือกันเป็นบริษัทแอลฟา ขยายธุรกิจตอบรับตลาดอี-คอมเมิร์ซที่กำลังมาแรง

 

ตีตลาด B2B ควบ B2C

“ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กางแผนและทิศทางบริษัทแอลฟาว่า จะทำตลาดแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. กลุ่มอสังหาฯ อุตสาหกรรม (Industrial Property) – จับตลาดธุรกิจดาวรุ่งและที่บริษัทเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เช่น ห้องเย็น, e-Commerce Fulfillment, ศูนย์คัดแยกพัสดุ Last-Mile, สินค้าเคมีภัณฑ์และวัตถุอันตราย, ดาต้า เซ็นเตอร์ และธุรกิจยานยนต์ใหม่ (รถอีวี)
  2. กลุ่มอสังหาฯ ในเมือง (Urbanized Property) – ธุรกิจในระบบโลจิสติกส์ที่เหมาะกับชีวิตคนเมือง เช่น Self-Storage, Micro Fulfillment และ e-Commerce Pick up & Drop off
  3. กลุ่มบริการในนิคมอุตสาหกรรม (Property Services) – ต่อยอดจากการให้บริการด้านคลังสินค้าและนิคม จะมีรายได้การให้บริการสาธารณูปโภค พลังงาน และบำบัดน้ำเสีย

แอลฟา

ทั้งนี้ จะเน้นหนักที่กลุ่มอุตสาหกรรม 70-80% เสริมด้วยอสังหาฯ ในเมือง 20-30% ขณะที่รายได้การบริการจะเพิ่มเติมมาในภายหลัง เห็นได้ว่าแอลฟาจะมีความต่างจากบริษัทอสังหาฯ อุตสาหกรรมในตลาดคือมีทั้งขาฝั่ง B2B และฝั่ง B2C

ชวนินทร์ปักหมุดการเติบโตของบริษัท เป้าปี 2566 จะเริ่มขายอสังหาฯ ในมือเข้ากองรีท และปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่บริการครบ 1 ล้านตร.ม. มูลค่าตลาด 12,000 ล้านบาท พร้อมเข้าเปิด IPO

 

ลงทุนเองผสมล่าซื้อกิจการ

จะไปให้ถึงเป้าหมายอย่างไรนั้น “ปธาน สมบูรณสิน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชัน จำกัด กล่าวว่า บริษัทแบ่งการเติบโตเป็น 2 ทาง คือ 60% มาจากการลงทุนก่อสร้างเอง และ 40% เข้าซื้อกิจการ โดยคาดว่าจะเพิ่มพื้นที่ได้เฉลี่ยปีละ 2 แสนตร.ม.

ทำเลที่บริษัทสนใจทั้งก่อสร้างเองและซื้อกิจการ แบ่งเป็น 4 ส่วน ดังนี้

  1. แหล่งอุตสาหกรรม ได้แก่ บางนา, แหลมฉบัง-ระยอง (EEC), วังน้อย
  2. หัวเมืองในภูมิภาค ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคใต้, ภาคเหนือ
  3. พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจในเมือง (CBD) เช่น กรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ในอนาคต
  4. ต่างประเทศ ได้แก่ เวียดนาม โซนท่าเรือไฮฟงและโฮจิมินห์, อินโดนีเซีย โซนท่าเรือใกล้จาการ์ตาและอุตสาหกรรมเคมีโซนสุราบายา, กัมพูชา โซนนิคมอุตสาหกรรมพนมเปญและโซนการค้าใกล้ชายแดนไทย

แอลฟา

ปัจจุบันแอลฟาเริ่มการลงทุนโครงการแรกแล้วที่ “บางนา กม.22” เป็นคลังสินค้าห้องเย็นพื้นที่ 20,000 ตร.ม. ลงระบบออโตเมชันทั้งหมด ใช้งบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท โดยมีลูกค้ารองรับแล้วเพื่อก่อสร้างแบบ built-to-suit คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ประมาณไตรมาส 2-3/65

นอกจากนี้ มีที่ดินรองรับพร้อมเริ่มก่อสร้างในปีนี้อีก 2 แห่ง คือ บริเวณ บางพลี-บางนา จะเป็นคลังสินค้าผสมทั้ง built-to-suit และ ready-built พื้นที่ 70,000-80,000 ตร.ม. (แบ่งเฟสพัฒนา) คาดเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 2/65 อีกแห่งหนึ่งอยู่ในโซน ปทุมธานี-วังน้อย ซึ่งจะเปิดเผยรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

 

ทุนตั้งต้น 2,300 ล้าน ใช้ระบบ “กองรีท” ต่อทุน

ด้าน “พีระพงศ์ จรูญเอก” ซีอีโอ ORI อธิบายด้านการเงินว่า ขณะนี้บริษัทมีทุนจดทะเบียนแล้ว 235 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มทุนไปถึง 500 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ โดยทั้งสองผู้ร่วมทุนมีแผนเบื้องต้นจะใช้เม็ดเงินลงทุนรวม 2,300 ล้านบาทภายใน 3 ปีแรก ก่อนที่จะเริ่มขายสินทรัพย์เข้ากองรีทเป็นครั้งแรกประมาณ 1 แสนตร.ม. ซึ่งจะทำให้แอลฟามีเงินทุนหมุนเวียนในการลงทุนเพิ่ม ต่อด้วยการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2568 ตามแผน

สำหรับการรับรู้รายได้เข้าออริจิ้น พีระพงศ์คาดว่าในปี 2568 รายได้จากแอลฟาน่าจะคิดเป็นสัดส่วน 5-15% ของเครือ

แอลฟา บางนา กม.22
โครงการแรกของแอลฟา คลังสินค้าห้องเย็นตั้งอยู่บริเวณบางนา กม.22

 

หวังขึ้น Top 3 วงการ อี-คอมเมิร์ซดันการเติบโต

พีระพงศ์ยังกล่าวด้วยว่า จากเป้าหมายพื้นที่ 1 ล้านตร.ม. จะทำให้บริษัทติด 1 ใน 3 บริษัทด้านอสังหาฯ อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดยตลาดนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น

ชวนินทร์อธิบายเพิ่มเติมว่า ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซเกิด “COVID-Drive” ในปีที่ผ่านมา การเติบโตมหาศาลทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้าได้ประโยชน์สูง นอกจากในเขตอุตสาหกรรมอย่าง ถ.บางนาจนถึง EEC อนาคตการลงทุนที่น่าสนใจต่อจากนี้คือจังหวัดหัวเมืองในภูมิภาค ซึ่งหลายจังหวัดกำลังแข่งขันเพื่อเป็นฮับกระจายสินค้า และแอลฟาจะเร่งเข้าไปจับโอกาสส่วนนี้

มิติใหม่ “รายย่อย” หาที่เก็บสินค้าในเมือง

ด้านธุรกิจโลจิสติกส์ในเมือง แม้มูลค่าไม่สูงเท่าอุตสาหกรรม แต่เป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยพีระพงศ์เล่าจากประสบการณ์กับลูกค้าออริจิ้นที่มีกว่า 100 โครงการ พบว่าคนรุ่นใหม่ในเมืองค้าออนไลน์มากขึ้น ตั้งแต่ผู้ค้าเป็นอาชีพเสริมจนถึงระดับ SMEs ทำให้เห็นโอกาสที่จะทำระบบห้องเก็บของหรือ “Self-Storage” และ Micro fulfillment จนถึงระบบตู้รับ-ส่งพัสดุในโครงการ ไว้รองรับคนกลุ่มนี้

Self Storage

นอกจากจะจับตลาดที่กำลังมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ยังเป็นการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าด้วย หากวันหนึ่งลูกค้าเติบโตจากระดับ SMEs ไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ แอลฟาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีในการดึงลูกค้ามาใช้ระบบคลังสินค้าต่อได้