โควิด 4 ระลอก ทำให้คนไทย 80% สุขภาพการเงินย่ำแย่ พ่วงเสียสุขภาพจิตรุนแรง

อิปซอสส์ เผยผลสำรวจ วิกฤต โควิด 4 ระลอก ส่งผลประชาชนทั้งภูมิภาคขาดความมั่นใจในอนาคตด้านการเงิน 80% ของคนไทยระมัดระวังกับจำนวนเงินที่ใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น กระทบต่อกลุ่มสินค้า และธุรกิจ พร้อม 5 สิ่ง ความคาดหวังจากภาครัฐ ต้องการมาตรการความปลอดภัย และพ้นภัยโควิด ควบคุมราคาสินค้าและบริการตลอดจนภาวะเงินเฟ้อ มาตรการสนับสนุนเงินส่วนบุคคลและครัวเรือน สร้างงานและคุ้มครองการจ้างงาน ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน

บริษัท อิปซอสส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทด้านการวิจัยตลาด และสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค ได้เปิดเผยถึงข้อมูลวิจัยชุดพิเศษ “วิกฤตการณ์โควิด 4 ระลอก กับการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์และทัศนคติ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาด เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมปัจจัยเพื่อการปรับตัว และวางแนวทางให้กับภาคธุรกิจ และภาครัฐ”

โดยอิปซอสส์ ได้ทำการศึกษาสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2563 เพื่อให้รับรู้ถึงความคิดเห็นของผู้บริโภค และพฤติกรรมต่างๆ ที่ต้องเผชิญท่ามกลางการแพร่ระบาดในตลาดสำคัญ 6 ประเทศ ในแถบภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปินนส์ สิงค์โปร์ เวียดนาม และประเทศไทย

อุษณา จันทร์กล่ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิปซอสส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า

“ผลการศึกษานี้จะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบด้านทัศนคติ อารมณ์ และพฤติกรรมการบริโภค ที่อยู่ท่ามกลางแพร่ระบาดของโควิดทั้ง 4 ระลอก พร้อมแนวโน้มอนาคต ที่จะใช้เป็นข้อมูลสำคัญช่วยให้ภาคตลาด ธุรกิจ และองค์กรต่างๆ สามารถใช้เป็นแนวทางในการวางแผนล่วงหน้าให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีการทำวิจัยที่ผสมผสานกับรูปแบบ Desk Research หรือการวิจัยบนโต๊ะจากหลายแหล่ง โดยเน้นการใช้การการวิจัยของตลาดประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ภาพรวมของสถานการณ์ตลาดประเทศไทยที่สมบูรณ์ตามความเป็นจริงที่สุด เป็นการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นระบบ เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง คู่แข่ง ตลอดจนสภาพแวดล้อม”

สุขภาพการเงิน “ย่ำแย่” ชลอซื้อของชิ้นใหญ่

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคตกลงอย่างต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในระลอกที่ 1 ในเดือนมีนาคม 2563 และตกต่ำสุดในระลอก 3 ในปี 2564 ต่อเนื่องกับระลอก 4 โดยความปลอดภัยจากโควิด-19 และความมั่นคงด้านการเงิน เป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกของคนไทย พร้อมการลดช่องว่างความไม่เท่าเทียมด้านฐานะ เป็นสัญญาณที่ละเอียดอ่อนที่ภาครัฐต้องคำนึง

อุษณา เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในส่วนแรกของสรุปผลการศึกษา จะชี้ให้เห็นถึง 5 ความคาดหวังของประชาชนในด้านต่างๆ ที่ต้องการจากภาครัฐ และ 5 สิ่งที่อยากได้จากภาคธุรกิจ อาทิ ความต้องการด้านความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความมั่นคงด้านการเงิน ความคาดหวังให้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่มีบทบาทร่วมรับผิดชอบต่อสังคม พฤติกรรมการใช้จ่าย และการใช้ชีวิตที่มีการเปลี่ยนอย่างมากและรวดเร็ว ที่ส่งผลต่อกลุ่มสินค้า และภาคธุรกิจ

สำหรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และการเงินส่วนบุคคล คนไทยยังมีความกังวล และมีภาพที่ไม่ดีตอสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศโดยภาพรวม และมีอัตราสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของภูมิภาค ขณะที่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม มีอัตราความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศตนสูงสุด ส่วนประเทศอื่นๆ เฝ้าระวัง และคาดหวังภาพที่ดี และประมาณ 1 ใน 3 ของคนไทย มองว่าสถานะด้านการเงินของตนเข้าขั้น “แย่” ถือเป็นสัดส่วนที่ตกต่ำสูงสุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

ส่วนการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการใช้จ่าย ที่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ พบว่า การใช้จ่ายของคนไทยในปัจจุบัน จะจ่ายเงินเฉพาะกลุ่มสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น โดยตัดการใช้จ่ายกับสินค้าที่มีมูลค่า เพื่อความสะดวกสบาย เช่น บ้าน รถยนต์ สินค้ากลุ่มนี้ มีอัตราลดลงตั้งแต่การแพร่ระบาดในระลอกที่ 3

ความมั่นใจในการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ การรวมญาติ ออกไปทานอาหารนอกบ้าน และท่องเที่ยวในประเทศ โดยสัดส่วนของกิจกรรมที่ทำการสำรวจ คือ

  • 41% ไปเยี่ยมญาติและเพื่อนถึงบ้าน
  • 32% ท่องเที่ยวภายในประเทศ
  • 28% ไปภัตตาคาร-ร้านอาหาร
  • 26% ใช้บริการขนส่งมวลชน
  • 24% ไปโรงยิมหรือสถานออกกำลังกาย
  • 22% ร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม
  • 20% ท่องเที่ยวต่างประเทศ

คุ้นชินกับช้อปออนไลน์

สำหรับพฤติกรรมการใช้จ่าย การแพร่ระบาดโควิด-19 ยาวนานกว่า 18 เดือน ได้เปลี่ยนพฤติกรรมด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภคไปอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มคุ้นเคยกับการช้อปปิ้งผ่านช่องทางออนไลน์ และจับจ่ายแบบไร้เงินสด ตลอดจนมีการใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น

กิจกรรมที่มีการขยายตัวอย่างมาก คือ การซื้อสินค้าออนไลน์ การใช้จ่ายแบบไร้เงินสดยังร้านค้าต่างๆ มองหางานอดิเรกใหม่ๆ ใช้เวลากับครอบครัว ใช้เวลาบนโซเชียลมีเดีย และการเข้าถึงสตรีมมิ่งคอนเทนต์ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า จากการที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน ก็จะส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตกับครอบครัว และการใช้เวลาบนโซเชียลมีเดีย ทำให้กิจกรรม 2 ส่วนนี้ มีการเปลี่ยนแปลงในอัตราที่สูงขึ้น

สำหรับรูปแบบการช้อปปิ้งแนวไลฟ์สตรีมมิ่ง เป็นตัวที่มาอุดช่องว่างพร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ในการจับจ่าย จากการสำรวจความคิดเห็นพบว่า 82% ของประชากรในกลุ่ม SEA เคยได้ยินเกี่ยวกับการช้อปปิ้งในรูปแบบนี้ และ 56% ของคนกลุ่มนี้ เคยเข้าร่วม โดยที่ 14% ของกลุ่มคนที่เข้าร่วมนี้ มีความตั้งใจที่จะซื้อสินค้า และ 36% ตัดสินใจซื้อสินค้า ทั้งนี้ กลุ่มสินค้ายอดฮิตที่มีการจับจ่ายผ่านรูปแบบไลฟ์สตรีมมิ่งที่มีการซื้อขายสูงสุด ดังนี้

  • 51% เครื่องแต่งกายและรองเท้า
  • 15% อาหาร
  • 14% ของใช้ส่วนบุคคลและความงาม
  • 10% สินค้าในครัวเรือน
  • 4% เครื่องดื่ม
  • 3% ของเล่น และเกม
  • 2% อื่นๆ

5 สิ่งความคาดหวังจากภาครัฐ

เมื่อถามถึงเรื่องเร่งด่วนในอนาคตอีก 6 เดือนข้างหน้า ประเด็นที่ประชาชนคาดหวังสูงสุดจากภาครัฐ 5 อันดับแรก คือ

  • 56% มาตรการป้องกันพนักงานให้ปลอดภัยและพ้นภัยโควิด
  • 36% ควบคุมราคาสินค้าและบริการตลอดจนภาวะเงินเฟ้อ
  • 34% มาตรการเงินช่วยเหลือและสนับสนุนด้านการเงินให้ครัวเรือน
  • 26% สร้างงานและคุ้มครองการจ้างงาน
  • 24% เพิ่มและพัฒนาระบบสวัสดิการด้านสุขภาพ

5 สิ่งความคาดหวังจากภาคธุรกิจ

ส่วน 5 สิ่งความคาดหวังจากภาคธุรกิจ หลักๆ คือ ด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจจะต้องนำมาพิจารณา เพื่อเตรียมแผนการรองรับใน 6 เดือนต่อไป โดยเรียงตามลำดับ ดังนี้

  • 53% ป้องกันพนักงานให้ปลอดภัยและพ้นภัยโควิด
  • 46% ควบคุมราคาสินค้าและบริการ
  • 41% จ่ายค่าจ้างที่เป็นธรรมให้พนักงาน
  • 30% มีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการสร้างงาน
  • 29% ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการอุดหนุนสินค้าของพ่อค้าในท้องที่

สุขภาพทางจิตก็ย่ำแย่

ในแง่ของความเจ็บป่วยทางจิต จากการประชาชนต้องอยู่ท่ามกลางผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 มาเป็นเวลายาวนานต่อเนื่อง ส่งผลให้คนไทยมีอัตราเสียสุขภาพจิตอย่างรุนแรงในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสังเกตได้จากอัตราการฆ่าตัวตายเทียบเท่ายุควิกฤตการเงินต้มยำกุ้งในปี 2540

ความล่าช้าของวัคซีน และข้อมูลที่ไม่ชัดเจน ตลอดจนข่าวบิดเบือนที่แพร่กระจายขยายวงกว้าง ได้สร้างความเข้าใจผิดในเรื่องผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน กลายเป็นสาเหตุหลักของการลังเลใจในการรับวัคซีน ขณะที่ประเทศต่างๆ พร้อมใจรับการฉีดวัคซีนทันทีที่ให้บริการ แต่ประเทศไทยกลับตรงข้าม เห็นได้จากอัตราความลังเลใจที่ลดลง เมื่อเปรียบเทียบระหว่างระลอก 3 กับระลอก 4 ที่ 79% และ 69% ติดลบ 10%

เกี่ยวกับผลสำรวจ

รายงานการวิจัย ชุดสรุปผลการศึกษาของการระบาดระลอก 4 นี้ เป็นการดำเนินการบนระบบออนไลน์ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน (16-24/6/2564) โดยสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างระดับอายุ 18 ขึ้นไป จำนวน 3,000 คน (500 รายต่อประเทศ) โดยสัดส่วนกลุ่มตัวอย่างจะถูกจัดสรรให้เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่างของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ การศึกษาสำหรับระลอก 1 ถึง 3 นั้น ได้ดำเนินการในเดือนพฤษภาคม และเดือนกันยายน ในปี 2563 และเดือนกุมภาพันธ์ ในปี 2564 ตามลำดับ

ส่วนสรุปรายงานวิจัยสำหรับประเทศไทย ได้มีการทำผสมผสานกับรูปแบบ Desk Research หรือ การวิจัยบนโต๊ะ จากหลายแหล่ง เพื่อให้ได้ภาพรวมของสถานการณ์ตลาดประเทศไทยที่สมบูรณ์ตามความเป็นจริงที่สุด (Desk Research) โดยเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นระบบ เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง คู่แข่ง และ/หรือสภาพแวดล้อม