ใช้เวลานานเกือบ 4 ชั่วโมง สำหรับการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 ที่โรงแรมสวิสโฮเทล เลอคองคอร์ด ก่อนที่ประชุมจะได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้ปฏิเสธข้อเสนอของเป๊ปซี่ และอนุมัติให้ทางเสริมสุขดำเนินแผนธุรกิจในอนาคตได้ นั่นหมายรวมถึงการสามารถยกเลิกสัญญาที่ทำขึ้นตั้งแต่ปี 2541 ได้ ซึ่งนำไปสู่การปลดล็อค Exclusivity กับทางเป๊ปซี่และทำให้เสริมสุขอาจเดินเกมปั้นแบรนด์ “น้ำดำ” หรือ CBD (Carbonated Soft Drink) ภายใต้แบรนด์ใหม่ และเข็นลงสู้ศึกกับเป๊ปซี่โดยตรงก็เป็นได้
นับเป็นการ Fight back ของเสริมสุขที่ทำเอาเป๊ปซี่ต้องกุมขมับ เหตุที่เสริมสุขเห็นว่า เกมเปลี่ยนและตัวเองถือไพ่เหนือกว่า ก็คือ เทรนด์ของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคและอัตราการเติบโตของ CBD เหลือเพียงตัวเลขหลักเดียว
ขณะที่เครื่องดื่มแบรนด์ตัวเอง อย่างคริสตัลก็เติบโตดีมาตลอด 5 ปี (2549-2553) เฉลี่ย 17.5% ต่อปี โดยเติบโตดีทั้ง Volume และ Margin หรือเครื่องดื่มอื่นๆที่รับจัดจำหน่ายอย่างโออิชิและคาราบาวแดงก็เติมโตเฉลี่ย 22.3% และ 13.4% ตามลำดับ หนทางของเสริมสุขจึงยังคงเปิดกว้าง และมีโอกาสอีกมากด้วยศักยภาพที่มีอยู่ ซึ่งคณะกรรมการบอกว่ามีกรอบบังคับทำให้ไร้ซึ่งอิสระและไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่
2 มีนาคม 2554 คือเส้นตายที่เป๊ปซี่จะต้องยื่นข้อเสนอเพื่อเจรจาใหม่ ในประเด็นที่เสริมสุขเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คือ Change of Control ซึ่งกำหนดให้เป๊ปซี่มีสิทธิยกเลิกสัญญาหรือฟ้องเรียกค่าเสียหายในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจควบคุม รวมถึง Exclusivity ที่จำกัดจำเขี่ยการเติบโตของเสริมสุขจนเกินไป
แต่เป๊ปซี่เอง ใช่จะงอมือ งอเท้า ปล่อยให้ถูกรุกไล่เพียงอย่างเดียว เพราะมีหมัดเด็ดจากตัวแทนของเซเว่น อัพ เนเธอร์แลนด์ หนึ่งในผู้หุ้นรายใหญ่ฝั่งเป๊ปซี่ที่บอกว่า ปัจจุบันยอดขาย 70% ของเสริมสุขมาจากเป๊ปซี่ แล้วเสริมสุขจะตอบโจทย์ผู้ถือหุ้นอย่างไร หากยอดขายที่มีถึงปีละ 20,000 ล้านบาทลดลง
ฝ่ายเสริมสุขก็โต้ตอบกลับมาด้วยว่าประโยคเด็ดคือ “ยอดขายไม่ใช่สาระสำคัญ” ที่ออกมาจากปากของวรารัตน์ ชุติมิต ที่ปรึกษาทางกฎหมายจาก บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงเขาบอกว่า Net Margin Profit คือ สิ่งที่ต้องพิจารณา และมั่นใจว่าถึงแม้ยอดขายจะลดลง แต่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นน่าจะทำให้ผู้ถือหุ้นยินดีมากกว่า
ทั้งสองฝ่ายมองกำไรในแง่มุมที่ต่างกัน เป๊ปซี่ให้มองที่ยอดขายรวม แต่เสริมสุขให้มองที่กำไร แต่ไฮไลท์ ของการประชุมครั้งนี้ต้องที่ สมชาย บุลสุข ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ที่บอกว่า ถึงเวลาที่ต้องทำอะไรที่ให้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยกับผู้ถือหุ้น
“ไม่เอาแล้ว Market Share Blinding ได้แต่หน้าตา แต่ไม่มีอะไรมาให้ผู้ถือหุ้น ต่อไปต้องเอา Quality มาดูกัน ต้องพยายามทำให้บริษัทมีประสิทธิภาพ รุ่งเรืองต่อไปได้ และไม่ได้ต้องการจะไปรบใครด้วย”
งานนี้ต้องวัดใจฝั่งเป๊ปซี่ว่าจะยืนยันข้อเสนอเดิม หรือลดหย่อนผ่อนผันให้กับทางเสริมสุขประการใดบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วพันธมิตรที่ร่วมหัวจมท้ายกันมานานกว่า 58 ปี จะต้องกลายเป็นคู่แข่งกันอย่างแน่นอน
หากสะบั้นสัมพันธ์กันจริงทั้งเสริมสุขและเป๊ปซี่ ต่างมีเวลา 12-18 เดือน เพื่อ Run down ธุรกิจ เพื่อที่ต่างคนต่างต้องหาพันธมิตรใหม่ตลอดจนสะสางแคมเปญต่างๆที่ประกาศไปให้แล้วเสร็จ
ล่าสุดเสริมสุขเพิ่งซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะเพื่อผลิต CBD และ Non-CBD ซึ่งเป็นที่ดินในนิคมเดียวกันกับของตัน ภาสกรนที ที่เตรียมสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่ม Double Drink และได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นพันธมิตรกันต่อไปในอนาคต
ด้านปริญญา เพิ่มพานิช ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและปฏิบัติการขาย บอกว่า ถ้าตอนนี้มีเป๊ปซี่ก็ดี แต่ถ้าไม่มีก็อยู่ได้ แต่ถ้ายังไม่ได้แตกหักกัน จะให้ไปจีบผู้หญิงคนอื่นมันก็ไม่เหมาะ
นี่จึงเป็นเสมือน Declaration of Independent ของเสริมสุขอย่างแท้จริง