ฟูมิโอะ คิชิดะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น วัย 64 ปี คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล และจะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นต่อจากนายโยชิฮิเดะ ซูงะ ที่ประกาศลาออกอย่างกะทันหันหลังดำรงตำแหน่งได้เพียงแค่ 1 ปี
การลงคะแนนโหวตเลือกหัวหน้าพรรค LDP คนใหม่เป็นไปอย่างขับเคี่ยวสูสี โดย คิชิดะ นั้นได้คะแนนโหวตเฉือนชนะตัวเต็งอย่าง ทาโร โคโนะ รัฐมนตรีฝ่ายปฏิรูปซึ่งดูแลเรื่องการกระจายวัคซีนโควิด-19 ไปเพียงแค่ 1 เสียงในการโหวตรอบแรก ก่อนจะชนะอย่างขาดลอย 257 เสียงในรอบที่สอง โดยที่ โคโนะ ได้ไป 170 เสียง
สำหรับผู้สมัครหญิงอีกสองคนคือ ซานาเอะ ทากาอิจิ วัย 60 ปี และ เซอิโกะ โนดะ วัย 61 ปี ได้ตัดสินใจถอนตัวในรอบที่สอง
รัฐสภาญี่ปุ่นจะมีการโหวตรับรองนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันที่ 4 ต.ค. และ คิชิดะ จะเป็นผู้นำพรรคแอลดีพีลงสู้ศึกเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าจะมีขึ้นภายในเดือนพ.ย.
ด้วยบุคลิกที่นุ่มนวลและไม่ทำตัวเป็นที่สนใจมากนักทำให้ คิชิดะ ถูกมองว่าไม่ค่อยมีเสน่ห์ความเป็นผู้นำหรือ ‘charisma’ สักเท่าไหร่ ขณะที่แนวคิดทางการเมืองของเขาก็เน้น “ความต่อเนื่อง” มากกว่าเสนอการเปลี่ยนแปลง แต่ท้ายที่สุดแล้ว คิชิดะ ก็ได้รับการสนับสนุนจากแกนนำอาวุโสของพรรคแอลดีพี ซึ่งมองว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยและมั่งคงกว่า โคโนะ ซึ่งเป็นคนโผงผางและชูนโยบายปฏิรูป
โครี วอลเลซ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยคานากาวะซึ่งเชี่ยวชาญการเมืองญี่ปุ่น ให้ความเห็น
“คิชิดะ ทำผลงานได้ดีกว่าที่หลายคนคาดคิด ที่ผ่านมาเขาพยายามเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนทุกกลุ่ม แต่เมื่อเทียบกับการชิงหัวหน้าพรรคครั้งที่ผ่านๆ มา ครั้งนี้เขาดูจะมีของมากขึ้น”
ทั้งนี้ เป็นที่คาดกันว่า คิชิดะ คงจะเข้ามาสานต่อนโยบายหลักของรัฐบาล ซูงะ ให้มีความต่อเนื่อง และยังไม่มีทีท่าว่าจะปรับจุดยืนในด้านกลาโหม, ต่างประเทศ หรือเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองหัวเสรี แต่ คิชิดะ ยังคงสงวนท่าทีมากกว่า โคโนะ ในประเด็นซึ่งเป็นข้อถกเถียงในสังคม เช่น การออกกฎหมายรับรองการสมรสระหว่างคนเพศเดียวกัน หรือการอนุญาตให้คู่สมรสใช้คนละนามสกุล เป็นต้น
ว่าที่ผู้นำญี่ปุ่นคนใหม่ยังต้องเตรียมรับศึกหนักหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่นจากพิษโควิด-19 รวมไปถึงการเผชิญหน้าภัยคุกคามจากจีนและเกาหลีเหนือ