จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) พบว่า ระหว่างปี 2011-2020 นับได้ว่าเป็นช่วงที่ร้อนที่สุด โดยเฉพาะช่วงปี 2016-2020 และมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตโลกยังคงจะร้อนขึ้นได้อีกอย่างน้อยปีละ 1 องศาเซลเซียส โดยทาง UN กำหนดเป้าหมายแรกในปี 2030 ตั้งเป้าหมายลดคาร์บอนทั่วโลก 45% และตั้งเป้าปล่อยคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050
แน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้โลกร้อน แต่หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ‘รถยนต์’ โดยรถยนต์แบบสันดาปเดิมนั้นปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 150-200 กรัมต่อกิโลเมตรที่รถวิ่ง แต่รถยนต์ไฟฟ้า 100% ไม่ปล่อยคาร์บอน ดังนั้น รถยนต์ไฟฟ้าเพียงหนึ่งคันจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 4.6 เมตริกตันในแต่ละปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้เพิ่ม 209 ต้น
ด้วยเหตุนี้ นานาประเทศที่เห็นพ้องต้องกันว่าต้องมุ่งไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ด้วยการลดและงดใช้ยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่เป็นตัวการสำคัญของก๊าซเรือนกระจก ไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับไทยได้วางเป้าลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไว้ที่ 20% ภายในปี 2030 โดยได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ขึ้นมาโดยเฉพาะ
รู้จักรถยนต์พลังงานทางเลือก 4 ประเภท
มีการคาดการณ์ว่าในปี 2020 ที่ผ่านมาทั่วโลกมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ากว่า 10 ล้านคัน แต่ภายในปี 2030 จะมีเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 140 ล้านคัน โดยที่ผ่านมาจะเห็นว่าทั้งค่ายรถยนต์ดั้งเดิม และค่ายสตาร์ทอัพ รวมไปถึงบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ก็หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นไปทำความเข้าใจกันก่อนว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 4 ประเภทมีอะไรบ้าง
- ไฮบริด หรือ (HEV, Hybrid electric vehicle) รถยนต์ไฮบริด เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบลูกผสม มีทั้งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปและมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่ มีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่ายานยนต์ปกติ รวมทั้งยังสามารถนำพลังงานกลที่เหลือหรือไม่ใช้ประโยชน์เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บในแบตเตอรี่ แต่ไม่มีช่องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟฟ้า
- ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV, Plug-in Hybrid Electric Vehicle) เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาต่อยอดมาจาก HEV ซึ่งมีการทำงานทั้ง 2 ระบบ (น้ำมันและไฟฟ้า) แต่เพิ่มระบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟขึ้นมา (plug-in) ทำให้สามารถอัดประจุไฟฟ้าจากภายนอกและนำมาเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ และด้วยขนาดของมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่ารถยนต์ไฮบริด จึงทำให้ PHEV สามารถวิ่งแบบใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ได้ ซึ่งจะไม่ใช้น้ำมัน เครื่องยนต์ไม่ทำงาน และไม่ปล่อยมลพิษ
- ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV, Battery Electric Vehicle) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยไอเสียออกมาเลย เนื่องจากเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และใช้พลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งมาจากการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าอย่างเดียว ไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศจากยานยนต์โดยตรง
- เซลล์เชื้อเพลิง (FCEV, Fuel Cell Electric Vehicle) ไฟฟ้าที่มีเซลล์เชื้อเพลิง เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้พลังงานมาจากเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) โดยเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจากภายนอก มีความจุพลังงานจำเพาะที่สูงกว่าแบตเตอรี่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังมีข้อจำกัดอย่างสถานีเชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Station) มีน้อยมาก
ทำไม MG HS PHEV ถึงเหมาะกับคนไทย
แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีข้อดีในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นค่าบำรุงรักษาที่ถูกกว่ารถยนต์สันดาป ความเงียบ อัตราเร่งที่ดีกว่าเพราะไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์ และที่สำคัญสุด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่คนไทยก็เริ่มให้ความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ‘ระยะการขับ’ และ ‘สถานีชาร์จ’ ที่ยังเป็น 2 ความกังวลที่ทำให้ผู้บริโภคไทย ‘ไม่มีความมั่นใจ’ ดังนั้น รถยนต์ไฟฟ้าแบบ ‘ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับใครที่อยากใช้รถยนต์ไฟฟ้าแต่ยังมีความกังวลเรื่องการชาร์จไฟฟ้า
ด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ใน MG HS PHEV ที่มีความสามารถเลือกขับขี่แบบใช้ไฟฟ้า 100% ได้ด้วย EV Mode ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 16.6 kWh. ในการขับเคลื่อน ให้พละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร
เมื่อชาร์จเต็มสามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้ไกลสูงสุด 67 กม. ซึ่งก็เพียงพอต่อการใช้ในชีวิตประจำวัน ช่วยให้ไม่ต้องใช้น้ำมัน ไม่สร้างมลพิษ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์รบกวน หรือหากต้องวิ่งทางไกลก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จ เพราะเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานร่วมกันโดยอัตโนมัติ (Hybrid) เดินทางได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ MG HS PHEV สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ง่าย ๆ ผ่าน MG Home Charger จาก 0%-100% ใช้เวลาประมาณ 4 ชม. และปัจจุบันตู้ชาร์จสาธารณะแบบ AC ก็มีให้บริการในหลายๆ สถานที่ เช่น ห้าง คอนโด อาคารสำนักงาน
MG HS PHEV มีจำหน่ายแล้วกว่า 15 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยี่ยม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ ไอร์แลนด์ อิสราเอล อิตาลี นอร์เวย์ สเปน สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และประเทศไทย
นอกจากนี้ MG HS PHEV ยังได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี หรือ Car of the Year 2021 ประเภท BEST HYBRID SUV UNDER 1,600 c.c. ที่จัดโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และรางวัล สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี พ.ศ. 2564 (Product Innovation Awards 2021) ประเภท กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์พลังงานทางเลือกอีกด้วย
สำหรับราคาของ MG HS PHEV อยู่ที่ 1,359,000 บาท โดยรับประกันแบตเตอรี่ในระบบ PHEV แบบไม่จำกัดระยะทาง ตลอดระยะเวลา 8 ปี และการรับประกันคุณภาพรถยนต์นาน 4 ปี หรือ 120,000 กม. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 หรือเว็บไซต์ www.mgcars.com