Post-acute COVID syndrome หรือที่เรียกติดปากว่า ลองโควิด (Long COVID) เป็นอาการตกค้างที่เกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อ COVID-19 และรักษาหายแล้ว แต่ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่ระบบทางเดินหายใจเท่านั้น ยังส่งผลได้กับทุกระบบในร่างกาย รวมถึงระบบประสาทและสมองได้อีกด้วย ซึ่งอาการที่เกิดจะต่างกันออกไป การรู้เท่าทัน จะสามารถทำให้เราสังเกตและพบแพทย์เพื่อทำการรักษาได้ทันท่วงที ก่อนที่อาการแย่ลง
นพ.ชัยศักดิ์ ดำริการเลิศ แพทย์อายุรกรรมระบบประสาท และแพทย์ผู้ชำนาญการด้านพฤติกรรมประสาทวิทยา และโรคสมองเสื่อม รพ.กรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า
สาเหตุของลองโควิดนั้นยังไม่เป็นที่รู้แน่ชัด แต่จากหลักฐานข้อมูลที่มีอยู่คาดการณ์ว่า ภาวะนี้น่าจะเกิดจาก 3 สาเหตุ คือ
- ไวรัสไปทำลายสมดุลระบบต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดความผิดปกติขึ้น
- ติดเชื้อไวรัสแล้วร่างกายถูกกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันและสารอักเสบมากขึ้นจนไปทำลายการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆ
- ผลกระทบหลังการเจ็บป่วยรุนแรง (Post – Critical Illness) ซึ่งผู้ป่วยที่มีการเจ็บป่วยรุนแรงจะมีการทำลายของระบบไหลเวียนขนาดเล็ก (Microvascular Injury) รวมถึงมีความผิดปกติของสมดุลเกลือแร่และสารน้ำในร่างกาย จึงทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายมีการทำงานที่ผิดปกติหลังจากผ่านพ้นการเจ็บป่วย
อาการของโรค COVID-19 จะคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจอย่างอื่น เช่น ไข้ อาการไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ปวดศีรษะ มึนศีรษะ หอบเหนื่อย หายใจเร็ว และอาจมีบางอาการที่เกิดจากเชื้อไวรัส COVID-19 เช่น การไม่ได้กลิ่น หรือ รับรู้รสชาติ ในผู้ป่วยบางราย เมื่อรักษาหายแล้วยังมีอาการเหล่านี้ตกค้าง หลงเหลืออยู่ ซึ่งเป็นภาวะลองโควิด
อาการจะแตกต่างกันไปตามการศึกษาและงานวิจัยของแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการติดเชื้อ จากข้อมูลทางสถิติผู้ป่วย COVID-19 ประมาณ 10,000 คน พบว่าหลังการติดเชื้อมีผู้ป่วย 73% ที่ยังคงมีอาการแม้ว่าจะรักษาโรคจนหายแล้ว
มีรายงานเบื้องต้นว่า ในเพศหญิง, มีโรคประจำตัวหอบหืด หรืออายุอยู่ในช่วง 35 – 49 ปี ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอาการ Long COVID มากกว่ากลุ่มอื่น และในคนไข้ที่มีอาการรุนแรง ในช่วงที่มีการติดเชื้อ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นลองโควิดมากกว่า
อาการของลองโควิด ที่พบได้บ่อยระบบหนึ่ง คือในส่วนของระบบประสาทและจิตเวช เช่น อาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ นอนไม่หลับ ภาวะสมองล้า (Brain fog) ภาวะสับสน (delirium) ภาวะเครียดภายหลังเกิดโรค หรือ พีทีเอสดี (Post-traumatic stress disorder, PTSD) อาการซึมเศร้า กลุ่มอาการย้ำคิดย้ำทำและภาวะวิตกกังวล (anxiety) ฯลฯ
ซึ่งภาวะสมองล้า (Brain fog) คือภาวะที่สมองมีการทำงานลดลง ทำให้คิดและตัดสินใจได้ช้าลง การวางแผนและแก้ปัญหาได้ลดลง รวมถึงการมีสมาธิลดลง (attention) ในบางคนอาจเป็นมากจนส่งผลให้ลืมความจำระยะสั้นหรือไม่สามารถทำงานที่เคยทำเป็นประจำได้
นอกจากนี้อาการลองโควิด ยังเกิดได้จากความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic dysfunction) ซึ่งมักจะพบอยู่ 2 ภาวะ คือ
1. กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วระหว่างเปลี่ยนท่า (Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome, POTS) ซึ่งลักษณะของกลุ่มอาการนี้คือจะมีหัวใจเต้นเร็วมากกว่าปกติเวลาเปลี่ยนท่า เช่น ลุกขึ้นยืนหรือนั่ง ซึ่งทำให้เกิดอาการ ใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ปวดศีรษะ มึนศีรษะ ไปจนถึงหน้ามืดและหมดสติได้
2.ภาวะเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Myalgia Encephalitis/Chronic Fatigue Syndrome, ME/CFS) ซึ่งอาการของภาวะนี้คือ อ่อนเพลียอย่างรุนแรง ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ สมองล้าคิดได้ช้าลง ขาดสมาธิ และมีปัญหาเรื่องการนอน เป็นต้น
การติดเชื้อ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ โดยหากมีโรคประจำตัวมาก่อนการติดเชื้อ ก็จะทำให้โรคนั้นแย่ลงเร็วกว่าปกติ แต่หากไม่มีโรคประจำตัวมาก่อน การติดเชื้อก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางระบบประสาทบางอย่างได้
โดยมีข้อมูลว่าการติดเชื้อโควิด-19 นั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ทั้งสมองขาดเลือดและเลือดออกในสมอง โรคสมองเสื่อม และโรคทางจิตเวช (เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล) มากกว่าคนที่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือเชื้อไวรัสทางเดินหายใจชนิดอื่น และยังพบว่าคนไข้จะมีความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวมากขึ้น หากมีประวัติการติดเชื้อโควิด-19 ที่ต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล หรือ ได้รับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤติ
ส่วนใหญ่การรักษาลองโควิด จะเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก ยังไม่มีการรักษาจำเพาะ สิ่งที่ควรทำคือการป้องกันตัวเองให้ไม่เป็นโรค COVID-19 การดูแลสุขภาพร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหากมีอาการผิดปกติแนะนำให้รีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที