ความสำเร็จของยอดขายรถยนต์ MG ในประเทศไทยที่ก้าวขึ้นมามียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่ม SUV รวมถึงกระแสการตอบรับที่ดีของ ORA GOOD CAT ที่มียอดจองกว่า 4,000 คันในช่วง 24 ชั่วโมงแรก แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่เปลี่ยนไปของคนไทยต่อแบรนด์รถยนต์จีน ปัจจุบันแบรนด์รถยนต์จากประเทศจีนได้ก้าวเข้ามามีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวทั้งต่อแบรนด์รถยนตร์ญี่ปุ่นและยุโรปที่เป็นเจ้าตลาดมาอย่างยาวนาน
ในความเป็นจริงสงครามการแข่งขันนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ซึ่งคือการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในกรณีของเครื่องยนต์สันดาป ถึงแม้จีนจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่คงเป็นอันยากที่จะสามารถเอาชนะแบรนด์ยุโรปหรือญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียง ความชำนาญ เทคโนโลยี และประสบการณ์ที่สั่งสมมานับร้อยปีได้ จึงจะเห็นได้ว่าในกลุ่มเครื่องยนต์สันดาปนั้น แบรนด์รถยนต์ที่ครองตลาดมากที่สุดในหลากหลายประเทศทั่วโลกยังคงเป็นแบรนด์ที่มาจากจากยุโรป อเมริกา หรือ ญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม แทนที่จีนจะพยายามแข่งขันในอุตสากรรมเก่าที่กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่าน จีนกลับได้โฟกัสตัวเองไปยังเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างอีวี โดยถ้ามองไปที่รถไฟฟ้าแล้ว จะพบว่าจีนกำลังก้าวนำหลากหลายประเทศทั่วโลกไปแล้ว ในปีที่ผ่านมา จีนมีสถานีชาร์จไฟฟ้าถึง 1.68 ล้านสถานี
ในขณะมีอเมริกาประเทศต้นกำเนิดของรถไฟฟ้าอย่างเทสล่า มีสถานีชาร์จไฟฟ้าเพียง 72,000 สถานี และประเทศไทยนั้นยังมีจำนวนไม่ถึง 1 พันสถานี ปัจจุบันจีนจึงเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งจากจำนวนและยอดขาย ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ยังนับเป็นเพียง 5% จากยอดขายรถทั้งหมดในประเทศจีน โดยรัฐบาลจีนต้องการให้มีสัดส่วนของรถไฟฟ้าเป็น 40% ในปี 2030
ความแตกต่างของประเทศจีนกับประเทศโลกเสรีอื่นคือรัฐบาลจีนนั้นมีอำนาจเด็ดขาดในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ในประเทศ การที่รัฐบาลจีนต้องการให้ประเทศเพิ่มสัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า แปลว่ารัฐบาลจีนพร้อมปรับนโยบาย ทุ่มงบประมาณ และบริษัทเอกชนเองก็ต้องปรับตัวตามกฎข้อบังคับของรัฐบาล
ซึ่งปัจจัยตรงนี้จะทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์อีวีของจีนพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและจะกลายมาเป็นผู้เล่นหลักในตลาดโลก ไม่เหมือนในตลาดเครื่องยนต์สันดาปที่จีนนั้นเป็นผู้ตาม
ที่สำคัญรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ใช่แค่รถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า แต่รถยนต์ไฟฟ้านั้นเป็นการรวมหลากหลายเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไร้สาย การนำทางผ่านดาวเทียม ชิปการประมวลผล software เซ็นเซอร์ เทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่ การแก้ปัญหาผ่านทางไกล เอไอ และอีกหลากหลายเทคโนโลยี
ซึ่งจีนเองก็กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในหลากหลายด้าน โดยเมื่อรวมเทคโนโลยีพวกนี้เข้าด้วยกันทั้งหมดก็จะนำไปสู่การที่รถยนต์สามารถขับขี่ตัวเองได้อย่างอัตโนมัติ (self-driving, autonomous vehicle)
การขับขี่อัตโนมัตินั้นต้องอาศัยเอไอที่ชาญฉลาด ซึ่งการที่เอไอจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ต้องอาศัยจำนวนข้อมูลมหาศาล การที่จีนมีจำนวนรถไฟฟ้ามากที่สุดในโลก รวมถึงการที่มีกฎหมายปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนน้อย แปลว่ารัฐบาลและบริษัทจีนมีจำนวนข้อมูลจำนวนมากมายที่สามารถนำมาให้เอไอเรียนรู้
ซึ่งแตกต่างจากทั้งฝั่งประเทศยุโรปและญี่ปุ่นที่มีข้อจำกัดทางด้านนี้ จีนจึงมีความได้เปรียบทั้งช่วงเวลาที่ได้เริ่มก่อน ทั้งนโยบายการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงจำนวนข้อมูลขับชี่อันมหาศาล
รถยนต์อีวีจึงเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นที่จีนจะใช้บุกตลาดไทยและตลาดโลก ในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ พร้อม เราคงจะได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถขับขี่ตัวเองได้จากประเทศจีน ใครจะรู้ว่าในอีกเพียงไม่กี่ปี “แบรนด์รถจากจีน” อาจจะให้ความรู้สึกเหมือน “แบรนด์รถญี่ปุ่น” หรือ “แบรนด์รถยุโรป” อย่างในปัจจุบันก็เป็นได้