นักวิเคราะห์ชี้ที่ ‘Elon Musk’ เล็งขายหุ้น 10% เพราะถูกเรียกเก็บภาษี 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลาได้ขอความเห็นจากชาวทวิตเตอร์ว่าเขาควรจะขายหุ้น 10% ของที่เขาถืออยู่ดีหรือไม่ หลังจากวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครต ออกมาเสนอไอเดียให้รัฐเก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น รวมถึงประเด็นว่าความร่ำรวยจากหุ้นที่สูงแต่ยังไม่ได้ขายจริงเป็นการ ‘เลี่ยงภาษี’ ชนิดหนึ่ง

อีลอน มัสก์ ได้หยิบยกเรื่อง ความร่ำรวยจากราคาหุ้นที่สูงขึ้นแต่ยังไม่ได้ขายจริง หรือที่เรียกว่า unrealized gain ซึ่งถือเป็นการเลี่ยงภาษีอย่างหนึ่ง ทำให้มัสก์ได้ถามความเห็นจากผู้ติดตาม Twitter กว่า 62.7 ล้านคน ว่าเขาควรจะเสนอว่าจะ ขายหุ้นเทสลาที่เขาถือครองอยู่สัก 10%

โดยมัสก์ได้ทำโพลขึ้นมา พร้อมระบุว่าเขาจะ “ปฏิบัติตามผลการสำรวจความคิดเห็นนี้ ไม่ว่าจะไปทางใด” ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ 58% เห็นด้วยที่จะขาย และ 42% ไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ไม่ว่าผลการสำรวจจะออกมาเป็นอย่างไร มัสก์ก็น่าจะเริ่มขายหุ้นได้หลายล้านหุ้นในไตรมาสนี้ เนื่องจากการเรียกเก็บเงินภาษีที่ใกล้จะเกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

เพราะถึงแม้เขาไม่ได้รับเงินเดือนหรือโบนัสเงินสด แต่ความมั่งคั่งของเขามาจากหุ้นและกำไรจากราคาหุ้นของเทสลา ดังนั้น มัสค์ต้องเสียภาษีเงินได้จากกำไร โดยเขาจะถูกเก็บภาษีที่ระดับรายได้ปกติสูงสุดหรือ 37% บวกภาษีการลงทุนสุทธิ 3.8% นอกจากนี้ เขายังต้องจ่ายอัตราภาษีสูงสุด 13.3% ในแคลิฟอร์เนีย เมื่อรวมกันแล้ว อัตราภาษีของรัฐและรัฐบาลกลางจะอยู่ที่ 54.1% ดังนั้น ภาษีทั้งหมดของเขา ณ ราคาปัจจุบัน จะอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

อ้างอิงจากข้อมูลช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ ถือเป็นบุคคลที่มีทรัพย์สินมากสุดในโลก เนื่องจากมัสก์ถือครองหุ้นของเทสลาเป็นจำนวน 170.5 ล้านหุ้น โดยราคาหุ้นที่เปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,222.09 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ดังนั้น ถ้าขายหุ้น 10% เขาจะได้รับเงินราว 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 700,000 ล้านบาท

Source