บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ จำกัด ลงทุน 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.8 หมื่นล้านบาท เพื่อยกระดับโรงงานในประเทศไทยเพื่อรองรับการผลิตรถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ และรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
โดยแผนดังกล่าว ฟอร์ดจะเพิ่มจำนวนหุ่นยนต์อีกเกือบสองเท่าของจำนวนหุ่นยนต์ที่มีในโรงงานผลิต และที่ AutoAlliance Thailand ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถกระบะที่ร่วมทุนกับ Mazda Motor Corp นอกจากนี้ ฟอร์ดยังจะเพิ่มกะงาน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานใหม่มากถึง 1,250 ตำแหน่ง รวมแล้วฟอร์ดมีจำนวนพนักงานในประเทศไทยมากกว่า 9,000 คน
ทั้งนี้ การอัพเกรดโรงงานจะช่วยให้บริษัทสามารถปรับแต่งการผลิตรถยนต์ได้ดีขึ้น เช่น ห้องโดยสารเปิดและปิ๊กอัพสี่ประตูเพื่อให้ตรงกับความต้องการ และเงินลงทุนดังกล่าวทำให้ฟอร์ดเป็นหนึ่งในบริษัทยานยนต์ผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนสะสมรวมกว่า 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1 แสนล้านบาท ตลอดระยะเวลา 25 ปีของการดำเนินธุรกิจ
“ในประเทศไทย ฟอร์ดสามารถผลิตรถยนต์ได้ประมาณ 270,000 คันต่อปี โดยตลาดส่งออกในเอเชียแปซิฟิกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% โดยในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และฟิลิปปินส์ถือเป็นประเทศที่นิยมรถกระบะ” นางสาวยุคนธร วิเศษโกสิน ประธาน ฟอร์ด อาเซียน และตลาดเกิดใหม่ ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าว
อย่างไรก็ตาม การลงทุนครั้งนี้สวนทางกับในบราซิลที่ฟอร์ดเพิ่งปิดโรงงานสามแห่งในปีนี้ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างบริษัททั่วโลกมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และกลยุทธ์ในการบรรลุอัตรากำไรจากการดำเนินงานทั่วโลกที่ 8%
สำหรับประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางการส่งออกและประกอบรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชีย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของ GDP และงานการผลิตของประเทศ โดยเมื่อปีที่แล้ว เจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ขายโรงงานในไทยให้กับบริษัท Great Wall Motor ของจีน ซึ่งได้เริ่มผลิตรถ SUV และวางแผนที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ขณะที่ PTT Pcl บริษัทพลังงานของไทยก็มีแผนที่จะลงทุนราว 1-2 พันล้านดอลลาร์ในโรงงาน EV กับบรัษัท Foxconn ของไต้หวัน