บิ๊กมูฟ! The Pizza Company ปั้น “ชิค-อะ-บูม” บุกตลาดไก่ทอด กระตุ้นนั่งทานที่ร้าน

เป็นการขยับตัวครั้งใหญ่ในรอบ 21 ปี ของ The Pizza Company เปิดโมเดลใหม่ The Pizza Company Signature มีเมนูที่มากกว่าพิซซ่า ขายเฉพาะนั่งทานที่ร้าน พร้อมแตกแบรนด์ลูก “ชิค-อะ-บูม” บุกตลาดไก่ทอดเต็มตัว พร้อมจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย

ดันไก่ทอดบุกตลาด 40,000 ล้าน

ถ้าพูดถึงตลาดร้านอาหาร QSR หนึ่งในเซ็กเมนต์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องก็คือ “ตลาดไก่ทอด” ปัจจุบันมีมูลค่าราวๆ 40,000 ล้านบาท สำหรับคนไทยแล้ว ไก่ทอดเป็นเมนูที่ทานได้ทุกวัยตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ เป็นอาหารโลคอลก็ได้ เพราะมีไก่ทอดสไตล์ไทยๆ ทานกับข้าวเหนียว หรือจะเป็นอาหารสไตล์เกาหลี หรืออเมริกันก็ได้

ปัจจุบันเราจึงได้เห็นแบรนด์ไก่ทอดเกิดขึ้นมากมาย ทั้งสไตล์เกาหลี และอเมริกัน มีทั้งแบรนด์ใหญ่ และแบรนด์ย่อยระดับ SME ทำให้ The Pizza Company ต้องลงมาจับตลาดนี้บ้าง ด้วยการแตกแบรนด์ “ชิค-อะ-บูม” เน้นขายแต่เมนูไก่ทอด แต่จะอยู่ภายใต้ร้าน The Pizza Company ไม่ได้ขายแยกสาขากัน

เหตุผลที่ทางแบรนด์ได้ลุยตลาดไก่ทอดนั้น มองเห็นเทรนด์การเติบโต ปกติที่ร้านได้มีขายเมนูปีกไก่บาร์บีคิวอยู่แล้ว คิดเป็นสัดส่วน 10% ถือว่าเป็นเมนูที่แข็งแกร่งพอสมควร อีกทั้งยังพบว่าในตลาดไก่ทอดมีความน่าเบื่อ มีรสชาติเดิมๆ เป็นไก่ชุบแป้งทอด

จึงปั้น ชิค-อะ-บูม เป็นแบรนด์ไก่ทอดสไตล์อเมริกัน เน้นแต่เมนูปีกไก่ทอด มีซอส 7 รสชาติ และซอสลับเดือนละ 1 ซอส ราคาเริ่มต้นที่ 169 บาท ไปจนถึง 389 บาท มีเมนูไฮไลต์อย่าง เดอะ คิลเลอร์ (The Killer) เอาใจสายกิน และสายคอนเทนต์ชอบแชะ มีไก่ที่จัดมาแบบอลังการ 4 ไม้ เสิร์ฟพร้อมคอร์นด็อก ราคา 499 บาท

ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“The Pizza Company นอกจากจะเป็นผู้นำตลาดพิซซ่าแล้ว ยังถือเป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำด้านปีกไก่ทอด ทั้งไก่เกาหลี ไก่บาร์บีคิว จึงได้เปิดตัวไก่ทอด “ชิค-อะ-บูม” (Chick-A-Boom) แบรนด์ไก่ทอดอเมริกันน้องใหม่ ชูจุดเด่นด้วยซอส 7 รสชาติ สร้างความแปลกใหม่ให้ผู้บริโภค เน้นตอบโจทย์พฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มเฟิร์สจ็อบเบอร์ ที่ไม่ชอบความจำเจ และชอบลองอะไรใหม่ และกระตุ้นการมาทานที่ร้านบ่อยขึ้นด้วย”

ชิค-อะ-บูม จะเริ่มขายสาขาแรกที่ The Pizza Company Signature ที่ศูนย์การค้าซีคอน ศรีนครินทร์ มีแต่เมนูที่นั่งทานในร้านอย่างเดียว ไม่มีบริการเดลิเวอรี่

แบรนด์นี้มีแผนที่จะเข้าไปเปิดภายในร้าน The Pizza Company ทุกสาขาในอนาคต จะเริ่มขยายในเดือนมกราคม 2565 แต่จะไม่มีการทำร้านแยกออกจากกัน หรืออยากมากก็ทำเป็นคีออสเล็กๆ ขายภายในร้านเท่านั้น

นำร่อง The Pizza Company Signature

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวของ The Pizza Company ในปีนี้ก็คือ การเปิดโมเดลใหม่ The Pizza Company Signature เรียกว่าเป็นการปรับโฉมทั้งตัวร้าน และเมนู เพื่อกระตุ้นยอดขายการมาทานที่ร้านโดยเฉพาะ ซึ่งเมนูของที่นี่จะไม่มีบริการเดลิเวอรี่

The Pizza Company Signature มีการปรับเมนูอาหารใหม่ทั้งหมดให้เป็นเมนูพรีเมียม จะไม่ได้มีแต่เมนูพิซซ่าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการรวมตัวของทั้ง Pizza-Meat-Cheese เพิ่มไลน์อาหารกลุ่มสเต๊ก สลัด และพาสต้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยใช้วัตถุดิบพรีเมียม

ไฮไลต์เด่นของที่นี่จึงเป็นการนำเอาพิซซ่ามาทำให้พิเศษยิ่งขึ้น ด้วยการใช้แป้งสูตรพิเศษ ที่ได้นำตำนานพิซซ่าชนิดแรกในประวัติศาสตร์โลกอย่างนาโปลีพิซซ่า (Napoli Pizza) จะมีแป้งที่หอม บาง เนื้อนุ่มหนึบ ขอบมีฟองอากาศ หรือ Bubble Crust และมีหน้าใหม่ให้เลือก 17 หน้า

“โมเดลนี้พัฒนามานานแล้ว ตอนแรกจะเปิดตังแต่ช่วงสิงหาคม แต่ก็ยังติดเรื่อง COVID-19 จึงเลื่อนมาเปิดในเดือนธันวาคม โมเดลใหม่นี้จะไม่ใช่แค่พิซซ่า แต่จะมีพิซซ่า ชีส สเต๊ก รวมถึงมีเบียร์ และไวน์ด้วย ถ้าทดลองตลาดแล้วเวิร์ก จะขยายต่อไปโดยเน้นจับกลุ่มลูกค้าในเมือง”

The Pizza Company Signature เป็นการรีโนเวตสาขาเดิมที่ศูนย์การค้าซีคอน ศรีนครินทร์ มีการปรับโฉมใหม่ ปรับสไตล์การแต่งร้านให้ทันสมัยขึ้นเป็นแนวเอิร์ธโทน ทำให้วัยรุ่นอยากเข้ามานั่งทานมากขึ้น น่าถ่ายรูปมากขึ้น

ที่เลือกสาขาซีคอน ศรีนครินทร์เป็นสาขานำร่องก่อนนั้น ภาณุศักดิ์ได้ให้เหตุผลว่า เพราะสาขานี้มีความพร้อมในการปิดรีโนเวตได้ อีกทั้งในโซนนี้ยังมีทราฟฟิกเยอะ มีกลุ่มครอบครัว โรงเรียน มหาวิทยาลัย และติดอันดับในท็อป 30 สาขาที่ขายดีของแบรนด์ด้วย

พลิกมุม จัดเมนูเฉพาะทานในร้าน

การเปิดทั้ง The Pizza Company Signature และชิค-อะ-บูม เป็นการดีไซน์มาเพื่อให้ตอบโจทย์การนั่งทานในร้านโดยเฉพาะ ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในตลาดร้านอาหารในยุคนี้ เพราะหลังจากที่เจอกับวิกฤต COVID-19 ที่ทำให้ร้านอาหารไม่สามารถขายได้ตามปกติสุขแล้ว หลายแบรนด์ยังกระจายความเสี่ยงด้วยการเน้นที่เดลิเวอรี่มากขึ้น หรือเปิดโมเดลใหม่ที่อยู่นอกศูนย์การค้า

แต่ The Pizza Company กลับเปิดร้านที่เน้นการนั่งทานในร้านมากขึ้น?

กิตติเชษฐ์ สถิตย์นพชัย ผู้ช่วยรองประธานบริหาร กลุ่มการตลาด เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ให้เหตุผลว่า

“จริงๆ ในส่วนของเดลิเวอรี่ก็มีแผนหนึ่ง นั่งทานที่ร้านก็มีแผนหนึ่ง มันช่วยเสริมกัน อย่างไรแล้วการมานั่งทานที่ร้านมันกระตุ้นการใช้เวลาอยู่ที่ร้าน มียอดการใช้จ่ายสูงกว่าเดลิเวอรี่ ลูกค้าสามารถกินได้หลากหลาย มีโอกาสทานอย่างอื่นมากขึ้น เพิ่มของหวานก็ได้ เห็นโต๊ะนู้นกินอันนี้ก็อยากกินบ้าง”

ปัจจุบันยอดการใช้จ่ายเมื่อทานในร้านเฉลี่ยอยู่ที่ 600 บาท/บิล หรือ 200 บาท/คน ส่วนใหญ่มา 3-4 คน ส่วนช่องทางเดลิเวอรี่จะมียอดการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 500 บาท/บิล ส่วนใหญ่จะสั่งแต่เมนูที่อยากกินเท่านั้น

ตอนนี้สัดส่วนยอดขายมาจากการทานที่ร้านลดลงเหลือ 20% เดลิเวอรี่ 50% และซื้อกลับบ้าน 30% จากก่อนหน้านี้สัดส่วนเท่าๆ กัน

ร้านอาหารยุคนี้ต้องมี “แอลกอฮอล์”

อีกหนึ่งความพิเศษของร้าน The Pizza Company Signature ก็คือ มีจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งไวน์ และเบียร์ โดยจำหน่ายตามเวลาที่กำหนด และมีการตรวจอายุของลูกค้าก่อนจำหน่ายด้วย

เบียร์จะมีจำหน่าย 2 ยี่ห้อ ได้แก่ ชาละวัน และโฮการ์เด้น เป็นรูปแบบแก้ว ส่วนไวน์จะจำหน่ายทั้งแบบแก้วและแบบขวด

กลายเป็นเทรนด์ของเชนร้านอาหารใหญ่ๆ ที่จะต้องมีเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในร้านไปแล้ว ก่อนหน้านี้ KFC ก็มีจำหน่ายเบียร์ในร้านเช่นกัน ในประเด็นนี้ กิตติเชษฐ์ บอกว่า คนรุ่นใหม่ หรือวัยรุ่นชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ร้านจะเป็นต้องเอาเข้ามาเสริมมากขึ้น ลูกค้าจะได้ใช้เวลาในร้านมากขึ้นด้วย

นอกจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ในร้านนี้ยังมีขนมหวานเป็นขนมไทย เช่น ลอดช่องวัดเจษ, ไอศกรีมกะทิ และทับทิมกรอบ ทางแบรนด์ได้ทำการสำรวจมาแล้ว พบกว่าคนไทยชอบทานขนมไทย ถงแม้จะเป็นร้านอาหารฝรั่งก็ชอบทานขนมไทย จึงได้เลือกเอาขนมไทยเข้ามาในร้านนี้

ปัจจุบัน The Pizza Company มีสาขาทั้งหมด 420 สาขา ยอดขาย 8,000 ล้านบาท ในปีนี้ที่เจอกับปัจจัยหลายๆ อย่าง คาดว่าจะติดลบ 10% การเปิดโมเดลใหม่ และแบรนด์ใหม่มีการตั้งเป้าว่าปีหน้าจะกลับมาเติบโต 15% และถ้าโมเดลนี้ได้รับการตอบรับดีจะขยายต่อเน้นโซนในเมือง เพราะมองว่าลูกค้ายังต้องการอะไรใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง