สร้างความตกใจให้แฟนบอล เชลซี ไม่น้อยภายหลังจากที่ โรมัน อบราโมวิช ประกาศวางมือพร้อมส่งไม้ต่อสโมสรให้มูลนิธิการกุศลถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ดูแลแทนท่ามกลางความพิพาทรุนแรงรัสเซียเปิดฉากรบใส่ยูเครน แน่นอนเพราะเขามีความสัมพันธ์กับ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียชนิดแนบแน่น ดังนั้นจากนี้เราลองมาดูเส้นทางชีวิตอันน่าเหลือเชื่อของคนที่ถูกเรียกว่า “เสี่ยหมี” กว่าจะมีวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้างรับรองว่าทุกคนจะต้องทึ่งในความเก่งกาจของเขาอย่างแน่นอน
โรมัน อบราโมวิช (Roman Abramovich) เกิดที่เมืองซาราตอฟในครอบครัวที่มีพื้นเพเป็นชาวยิว เขาแทบจะไม่มีช่วงเวลาสนุกวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป เพราะแม่เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุเพียงขวบเดียว ไม่นานพ่อก็ต้องมาจากไปอีกหนึ่งคน ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ด้วยเหตุนี้พอค่อยๆ รู้ความและเติบโตขึ้นเจ้าตัวคิดเพียงแค่เรื่องเดียวคือเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทำอย่างไรให้อยู่รอด ทำอย่างไรถึงจะอยู่รอด แน่นอนคือต้องหาเงิน
ดังนั้นเขามองว่าเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์จึงออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 16 ปี ธุรกิจแรกในชีวิตคือเป็นพ่อค้าในตลาดมอสโกช่วงทศวรรษ 1980 โดยขายของเล่นที่ทำจากยางอย่างเช่น เป็ดยาง ซึ่งแน่นอนเมื่อผ่านไปถึงจุดหนึ่งเขารู้ทันทีว่าสิ่งนี้ไม่ได้ทำให้รวย และเสียเวลาเปล่าโดยใช่เหตุ จึงครุ่นคิดถึงการทำอย่างอื่นแทน
โรมัน อบราโมวิช พยายามหาลู่ทางและคิดขึ้นมาได้ว่าตนมีเส้นสายคนรู้จักสมัยที่เคยเข้าร่วมกับกองทัพก่อนหน้านี้ ซึ่งเด็กอายุแค่นั้นไม่รู้หรอกว่า “คอนเนกชั่น” นั้นคืออะไร แต่ด้วยสัญชาตญาณและความฉลาด ทำให้ค้นพบธุรกิจใหม่ก็คือการ “ขายน้ำมันเถื่อน” ซึ่งคนที่จะมาสมรู้ร่วมคิดด้วยก็จะต้องเป็นคนในหน่วยงานของรัฐหรือนักการเมืองนั่นเอง
ตอนอายุ 25 ปี โรมัน อบราโมวิช ก็เริ่มธุรกิจใหม่ในฐานะพ่อค้าน้ำมันแบบเต็มตัว ซึ่งการขายน้ำมันเถื่อนก็ทำให้รวยเร็วอยู่แล้ว แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่เขาได้รู้จักกับ บอริส เบเรซอฟสกี นักการเมืองตัวพ่อในยุคนั้น มันเหมือนกับการติดปีกให้กับธุรกิจของเขาก็ว่าได้ เพราะอิทธิพลที่ช่วยให้การปลอมแปลงน้ำมันหรือทำผิดนั้นพิสูจน์และหาตัวคนกระทำผิดไม่ได้ ซึ่งเราก็รู้กันอยู่ว่าต้องมีคนช่วยอยู่เบื้องหลัง อย่างการปลอมแปลงน้ำมันดีเซล 3 ล้านกิโลกรัมในปี 1992 ก็ไม่อาจหาหลักฐานใดๆ ได้เลย
นอกจากนี้เขายังจ่ายเงินจำนวนมหาศาล 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับ เบเรซอฟสกี เพื่อเข้าถึงข้อมูลทางการเมืองภายในรัฐบาลของประธานาธิบดี บอริส เยลต์ซิน ในช่วงต้นทศวรรษ 90 ดังนั้นเมื่อรู้ข้อมูลวงในล่วงหน้าก็ทำให้ โรมัน อบราโมวิช ได้เปรียบทุกคนโดยเฉพาะคู่แข่งทางธุรกิจและเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจต่างๆ ทำให้สามารถคาดเดาสถานการณ์การลงทุนได้ล่วงหน้า ดังนั้นสิ่งนี้จึงคุ้มค่ามหาศาล เพราะเหมือนการจ่ายเงินซื้อคอนเนกชั่นที่ช่วยให้ธุรกิจของตนนั้นเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
เมื่อสองสิงห์ออกล่าไปด้วยกัน เข้าขารู้ใจก็สามารถบันดาลได้ทุกอย่าง จากนั้นทั้งคู่ตัดสินใจซื้อ Sibneft บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของไซบีเรียในราคาเพียง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แน่นอนว่าราคาจริงสูงกว่านั้นมาก ซึ่งก็เพราะใช้เส้นสายรวมถึงวิทยายุทธ์ก่อนที่จะขายต่อให้ Gazprom บริษัทพลังงานรายใหญ่ของรัสเซีย พร้อมกับฟันกำไรไม่รู้กี่เท่า
ตอนนั้นรัฐบาลรัสเซียก็ทราบดีแล้วว่า อบราโมวิช กับ เบเรซอฟสกี นั้นมีเพาเวอร์ขนาดไหน ทำให้อ้าแขนรับทั้งคู่เข้ามาพบปะพูดคุยกินข้าวทำธุรกิจกับมหาเศรษฐีทรงอิทธิพลมากหน้าหลายตา ซึ่งทั้งสองคนยินดีอยู่แล้ว เพราะมันหมายถึงเส้นสายและความรู้จักมักคุ้นนี้ก็จะนำไปสู่ช่องทางการทำธุรกิจให้ไหลลื่นได้แบบไม่ติดขัด
กระนั้นก็ตามเสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกัน ใครแข็งแกร่งกว่ารอด โดย เบเรซอฟสกี ถูกพบเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาในอ่างอาบน้ำภายในบ้านพักของตัวเอง คาดอาจเป็นการฆ่าตัวตาย หลังจากที่เขาถูกศาลสูงของอังกฤษตัดสินให้เป็นฝ่ายแพ้คดีและจ่ายค่าเสียหายแก่ อบราโมวิช
โดยการเสียชีวิตของ เบเรซอฟสกี มีขึ้นเพียงไม่กี่เดือน หลังจากที่เขาถูกศาลสูงของอังกฤษตัดสินให้เป็นฝ่ายแพ้คดีแก่ อบราโมวิช หลังจาก เบเรซอฟสกี ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก อบราโมวิช เป็นเงินสูงกว่า 3,000 ล้านปอนด์ หรือราว 133,870 ล้านบาท โดยกล่าวหาอีกฝ่ายแบล็กเมลและมีพฤติกรรมฉ้อฉลในการทำธุรกรรม ณ บริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งของรัสเซีย
ตอนนั้นดูเหมือนว่าใครก็หยุด อบราโมวิช ไม่ได้แล้ว พร้อมๆ กับในปี 2000 ที่รัฐบาลรัสเซียมีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจชายที่ชื่อ วลาดิเมียร์ ปูติน ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี โดยอดีตสายลับ KGB นั้นได้รับความไว้วางใจจาก เยลต์ซิน ให้ขึ้นมารับไม้ต่อ และอบราโมวิช ก็ฉลาดและสายตาหลักแหลมพอที่จะเข้าหา ปูติน คนที่ราศีกำลังจับในช่วงเวลานั้น
ทั้งคู่เปรียบเสมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ปูติน จึงเปิดไฟเขียวให้ อบราโมวิช เข้ามากอบโกยทำธุรกิจในส่วนต่างๆ ของประเทศไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงาน อุปโภคบริโภค และการคมนาคม จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งเจ้าตัวก็ต้องการแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ
และในปี 2003 ก็เข้าเทกโอเวอร์สโมสร เชลซี แห่งศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เรียกได้ว่าเป็นชาวต่างชาติคนแรกๆ หรือยุคบุกเบิกจนถึงทุกวันนี้ก็ว่าได้ ที่มหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลกจะหอบเงินเข้ามาซื้อทีมเมืองผู้ดีไปบริหาร
สิ่งที่ต้องชื่นชม อบราโมวิช ในแง่ของกีฬาก็คือมีความมุ่งมั่นตั้งใจจะทำ เชลซี จริงๆ จนก้าวไปคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 50 ปีหรือฤดูกาล 2004–05
จนถึงตอนนี้ก็คือสนับสนุนจนทีมได้ทุกแชมป์อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งแน่นอนนิสัยส่วนตัวของเขาที่สะท้อนออกมาในการบริหารทีมท่ามกลางสายตาอันสงบเยือกเย็นแต่ภายในครุ่นคิดวางแผน การตัดสินใจก็คือการเปลี่ยนแปลงกุนซือที่กล้าที่จะไล่ออกหากไม่ถูกใจและใช้กุนซือชั่วคราวเข้ามาพาทีมคว้าแชมป์แทนก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ทว่าการที่ อบราโมวิช สนิทสนมกับ ปูติน ทำให้ระยะหลังไม่สามารถที่จะเดินทางมาชมเกมที่ขอบสนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะถูกรัฐบาลอังกฤษจับจ้องอย่างหนัก การขอวีซ่าจึงไม่ง่ายอีกต่อไป ทำให้ต้องตั้งสาวสวยอย่าง มาริน่า กรานอฟสกาย่า เข้ามาเป็นมือเป็นเท้าดูแลแทน
ล่าสุดสถานการณ์โลก รัสเซีย เปิดฉากโจมตี ยูเครน เพราะอีกฝ่ายต้องการจะเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO ทำให้ชื่อของ อบราโมวิช ถูกอังกฤษหมายหัวอีกครั้ง และได้งัดกรณีนี้ขึ้นมาจ้องเล่นงานเพื่อเช็กบิล หลังจากที่ก่อนหน้านี้พยายามมาโดยตลอด เพราะก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เสี่ยหมี” นั้นมีผลประโยชน์กับ ปูติน เงินทุกบาททุกสตางค์อาจจะได้มาแบบผิดกฎหมายและทุกอย่างพร้อมยักย้ายถ่ายโอนได้ตลอดเวลา
แน่นอนว่าในมุมของการบ้านการเมืองก็ว่ากันไป แต่ในมุมของกีฬานั้นรับรองว่าแฟนบอล เชลซี จะต้องคิดถึง อบราโมวิช เพราะคือคนที่รักเกมลูกหนังตั้งอกตั้งใจทำทีมอย่างแท้จริง รวมถึงเรื่องการบริหารก็ไม่เป็นสองรองใครไม่เหมือนนักธุรกิจคนอื่นๆ ที่เข้ามากอบโกยเงินจากสโมสรและพอถึงเวลาได้กำไรก็พร้อมขายทิ้งทันที